ก่อนที่มือปืนที่ดีที่สุดในโลกจะกำเนิดขึ้น เขาเคยเป็นมือปืนหน้าหวานที่มหาลัย เดวิดสัน แห่ง นอร์ธ แคโรไลนา มาก่อน
ในปี 2008 เคอร์รีได้สร้างปรากฏการณ์ในการพา เดวิดสัน ทะลุเข้ารอบลึกในทัวร์นาเมนต์ NCAA แบบตื่นเต้นและน่าเร้าใจสุดๆ ซึ่งนี่เป็นสัญญาณอย่างหนึ่งที่กำลังบ่งบอกว่าเขาจะกลายเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดคนหนึ่งแห่งโลก NBA ในเวลาต่อมา
ก่อนที่จะมีเรื่องราวน่าเหลือเชื่อเกิดขึ้น สเตฟเฟน เคอร์รี คือผู้เล่นคนหนึ่งที่คนรู้จักอยู่ไม่น้อยเพราะเขาคือผู้เล่นยอดเยี่ยมฝั่งใต้ด้วยการทำค่าเฉลี่ยไป 25.9 แต้มต่อเกม จากการยิง 3 คะแนนระดับ 43.9 เปอร์เซนต์ (จากโอกาส 10.3 ครั้งต่อเกม!) ในฤดูกาล 2007-08 ซึ่งนี่ทำให้เขาเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ทำคะแนนได้น่ากลัวมากๆคนนึ่งเลยทีเดียว
แต่ทว่าการต้องไปเล่นให้กับ เดวิดสัน ที่ไม่เคยได้รับแสงส่องจากสนามระดับชาติเลยแม้แต่น้อยจนกว่าจะถึงเวลาที่พวกเขาได้ลงเล่นในทัวร์นาเมนต์ NCAA บอกเลยว่าไม่มีใครคาดคิดแน่ๆว่าการ์ดปีสองคนนี้จะพาทีมขึ้นมาได้ไกลขนาดนี้
หลังจากที่เล่าความเป็นมาให้ทุกท่านได้รับรู้แล้ว เราไปเจาะในแต่ละเกมกันเลยดีกว่าว่า เคอร์รี โหดแค่ไหนจนทำให้ มาร์ช แมดเนส ลุกเป็นไฟขึ้นมาในทันควัน
เปิดตำนาน สเตฟเฟน เคอร์รี : ผู้พา เดวิดสัน ระเบิดฟอร์มใน NCAA
รอบ 64 ทีม ปะทะ กอนซากา
เดวิดสันเข้ามาด้วยการเป็นทีมอันดับ 10 ซึ่งต้องเจอกับทีมสุดโหดอันดับ 7 อย่างกอนซากา
ทางฝั่งของ บูลด็อกส์ นำโดยอนาคตผู้เล่น NBA สามคนอย่าง เจเรมี พาร์โก้, โรเบิร์ต ซาเคร และ ออสติน เดย์ แต่ทว่าทั้งสามคนนี้กลับไม่มีคำตอบให้กับ สเตฟเฟน เคอร์รี เลยแม้แต่นิดเนียว
ในเกมนี้ เคอร์รี ระเบิดไปคนเดียว 40 แต้ม พร้อมยิงสามคะแนนลงไปถึง 8 ลูกจนสามารถพา เดวิดสัน เฉือน กอนซากา ไปได้ 6 แต้มที่ 82-76 คะแนน การปล่อยบอลที่รวดเร็วและแม่นยำทำให้คนที่ได้ดูเขาเริ่มที่จะหลงรักชายหนุ่มคนนี้เมื่อลงเล่นในสนามบาสได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนั้น เคอร์รี ยังทำไปอีก 5 สตีล, 3 รีบาวด์ และ 2 แอสซิสต์ จนส่งทีมเข้ารอบ 32 ทีมสุดท้ายไปเจอกับด่านต่อไปอย่าง จอร์จทาวน์ ทีมอันดับ 2
รอบ 32 ทีม ปะทะ จอร์จทาวน์
คงเป็นเรื่องปกติที่คนจะคิดว่า เกมแรกทำได้ขนาดนั้น ในเกมที่สองคงจะหมดแล้วล่ะ แต่ทว่า เคอร์รี ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลยทั้งๆที่เขาต้องเจอทั้ง รอย ฮิบเบิร์ต, เดชวน ซัมเมอร์, ออสติน ฟรีแมน และ เจสซี แซ็ปป์
แม้ว่าจะมีช่วงหนึ่งที่ เดวิดสัน ต้องตามไปถึง 15 คะแนน แต่ทว่า เคอร์รี คนนี้ยังร้อนแรงไม่หยุดหย่อนพาทีมกลับมาได้เรื่อยๆจนสุดท้ายทีมของเขาก็สามารถเฉือน จอร์จทาวน์ ไปได้อีกครั้ง 74-70 คะแนน
โดยในเกมนี้เขาทำไปทั้งหมด 30 แต้ม และยิงสามคะแนนไป 5 ลูก รวมถึงลูกยิงสามคะแนนสุดสำคัญที่พาทีมขึ้นนำไป 5 แต้มในช่วง 3 นาทีสุดท้ายของเกม
รอบ 16 ทีม ปะทะ วิสคอนซิน
แหม่…เกมที่สามแล้วในทัวร์นาเมนต์ ใครจะมาทำระดับมากกว่า 30 แต้มได้สามเกมติด…..คุณกำลังคิดผิดครับ
ในการที่ เดวิดสัน ต้องเจอกับทีมอันดับ 3 อย่าง วิสคอนซิน ทั้งสองทีมนั้นต่างแลกกันไปแลกกันมาในช่วงครึ่งแรกแบบสนุกคนดู แต่ทว่า เคอร์รี กลับทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นในครึ่งหลังจน เลบรอน เจมส์ ต้องนับถือใจของ เคอร์รี กันเลยทีเดียว เพราะนี่เป็นเกมที่สามติดต่อกันแล้วที่ เคอร์รี สามารถทำได้มากกว่า 30 แต้ม ด้วยการจัดไป 33 คะแนน ด้วยการยิง 3 ลงไปทั้งหมด 6 ลูก และพาทีมชนะไป 73-56 คะแนน
และด้วยการชนะนัดนี้ ทำให้ เดวิดสัน สามารถทะลุเข้ารอบแปดทีมสุดท้ายของ ทัวร์นาเมนต์ NCAA ได้เป็นครั้งที่สามของประวัติศาสตร์ทีม
รอบ 8 ทีม ปะทะ แคนซัส
เดวิดสันล้มได้ทั้งทีมอันดับ 2 และ อันดับ 3 ในสายของตัวเอง แต่ทว่าในคราวนี้พวกเขาต้องเจอกับทีมที่โหดที่สุดอย่างแคนซัส
ต้องบอกก่อนเลยว่าทีมนี้อุดมไปด้วยผู้เล่นสุดโหดและแข็งแกร่งไม่ว่าจะเป็น มาริโอ ชาล์มเมอร์ส, ดาร์เรลล์ อาร์เธอร์ และ แบรนดอน รัช ในชุดตัวจริง และ เชอร์รอน คอลลินส์, ซาวา ควน และ โคล อัลดริช ที่พร้อมลุกขึ้นมาจากม้านั่งสำรอง
แคนซัสถือว่าเป็นทีมที่ดีสุดในทัวร์นาเมนต์นี้ในการแก้ทาง สเตฟเฟน เคอร์รี เลยทีเดียว เพราะเขากดให้การ์ดมือปืนคนนี้ทำไปได้เพียง 25 แต้ม จากการยิง 9-25 ฟิลด์โกล และทำสามคะแนนไปได้เพียง 4 จาก 16 ลูกเท่านั้น
แม้ว่า เคอร์รี จะยิงสามแต้มลงไปในช่วงสุดท้ายจนทำให้ทีมตามเพียงสองแต้มและสามารถคว้าบอลมาครองได้ในเพลย์สุดท้ายเพื่อตีเสมอหรือชนะ แต่ทว่า เจย์ฮอว์กส์ ก็เล่นเพื่อความชัวร์ด้วยการส่งคนไปดับเบิลทีม เคอร์รี เพื่อให้ทีมมั่นใจว่าชายคนนี้จะไม่ได้เป็นคนยิง และต้องทำให้ผู้เล่นคนอื่นในทีม เดวิดสัน เป็นคนลงโทษพวกเขาแทน
และใช่ครับ เพื่อนร่วมทีมของ เคอร์รี ได้ยิงสามแต้มออกไปเพื่อจะขึ้นนำในช่วงวินาทีสุดท้าย แต่ทว่ามันก็ไม่ลงจนทำให้การเดินทางสุดแสนจะน่าเหลือเชื่อครั้งนี้ของ เดวิดสัน จบลงไปที่รอบแปดทีมเท่านั้น
แต่แม้ว่า เดวิดสัน จะต้องตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย เคอร์รี ก็ได้ฝังชื่อของเขาเข้าไปในระดับประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้วจากการทำสถิติ 32.0 แต้มต่อเกม จากการยิงสามคะแนนลงไป 5.8 ลูกต่อเกมด้วยความแม่นระดับ 44.2 เปอร์เซนต์ ก่อนที่สุดท้ายเขาจะพิสูจน์ให้คนเห็นอีกครั้งว่าเขาไม่ได้ดีแค่ระดับ NCAA แต่ดีขนาดที่ว่าเป็นผู้เล่นที่เก่งที่สุดคนหนึ่งใน NBA ได้เลยจริงๆ
บทความที่เกี่ยวข้อง : Stephen Curry: Underrated ดีแค่ไหน? หลังเปิดคำวิจารณ์เว็บชื่อดัง
บทความที่เกี่ยวข้อง : เกิดอะไรกับ จอห์นนี ฟลินน์? ผู้เล่นที่ถูกดราฟต์ก่อน สเตฟเฟน เคอร์รี
NBA LEAGUE PASS สมัครเพื่อชมการแข่งขันเอ็นบีเอสดทุกนัดคลิก