อะไรคือเส้นภาษีที่สองในNBA? และส่งผลต่อเพดานเงินอย่างไร?

Stephen Noh

อะไรคือเส้นภาษีที่สองในNBA? และส่งผลต่อเพดานเงินอย่างไร? image

หากใครได้ติดตาม NBA อย่างใกล้ชิดจะรู้เลยว่ามีสิ่งหนึ่งที่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของลีก ซึ่งนั่นก็คือการเปลี่ยน ข้อตกลงเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน หรือ Collective Bargaining Agreement (CBA) ใหม่ที่ได้เพิ่มเส้นภาษีที่สอง (Second Apron) เข้ามา

ซึ่งเส้นภาษีที่สองนั้นได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อลงโทษทีมที่จ่ายเงินเกินเส้นภาษีฟุ่มเฟือยมากเกินไป และในทางทฤษฎีแล้วกฎนี้จะช่วยทำให้การสร้างทีมระหว่างทีมตลาดใหญ่และตลาดเล็กมีความแฟร์มากขึ้นเวลาลงทุนสร้างทีม

หากใครสงสัยว่าเส้นภาษีที่สองนั้นทำงานอย่างไร? ส่งผลแค่ไหนกับการเสริมทัพของทีมใน NBA และเพดานเงินของทีมในปี 2023-24? สามารถติดตามได้ในบทความนี้

อะไรคือเส้นภาษีที่สองในNBA? และส่งผลต่อเพดานเงินอย่างไร?

นี่คือตัวเลขทางการเงินของแต่ละทีมใน NBA ฤดูกาล 2023-24: 

  • เพดานเงิน (Salary cap): 136 ล้านเหรียญ
  • ภาษีฟุ่มเฟือย (Luxury Tax): 165 ล้านเหรียญ
  • เส้นภาษีแรก (First Apron): 172 ล้านเหรียญ
  • เส้นภาษีที่สอง (Second Apron): 182.5 ล้านเหรียญ

เพดานเงินหรือ Salary Cap คือจำนวนเงินที่แต่ละทีมสามารถใช้ได้ในการสร้างทีม ซึ่งหากทีมไหนใช้ไม่ถึง 136 ล้านเหรียญ ก็จะสามารถใช้พื้นที่ที่เหลือเพื่อไปเซ็นผู้เล่นฟรีเอเยนต์เข้ามาสู่ทีมได้

ซึ่งแต่ละทีมสามารถสร้างทีมเกินเพดานเงินได้โดยใช้ข้อยกเว้นต่างๆ อย่างเช่น ข้อยกเว้นเบิร์ด (Bird Exception) ที่ให้ทีมได้ต่อสัญญากับผู้เล่นฟรีเอเยนต์ของทีมตัวเองได้ง่ายขึ้น โดยปกติแล้วทีมทั่วไปใน NBA จะสร้างทีมโดยใช้เงินเกินเพดานเงินปกติที่ 136 ล้านเหรียญและจะใช้ข้อยกเว้นต่างๆเพื่อไม่ให้ไปถึงขั้นต้องเสียภาษีฟุ่มเฟือยที่เส้น 165 ล้านเหรียญ

แน่นอนว่าเมื่อไหร่ที่ทีมใช้เงินถึงขั้นภาษีฟุ่มเฟือยนั้นจะโดนลงโทษ อย่างแรกก็คือการปรับเงิน ซึ่งเงินที่ได้จากตรงนี้จะนำไปแบ่งให้กับทีมที่ใช้เงินไม่ถึงจำนวนภาษีฟุ่มเฟือยหลังจบฤดูกาล

แต่ถ้าทีมไหนยังเดินหน้าสร้างทีมเกินเส้นภาษีฟุ่มเฟือยจนถึงเส้นภาษีแรกหรือ First Apron ทีมก็จะโดนบทลงโทษที่มากขึ้น

บทลงโทษของการสร้างทีมเกินเส้นภาษีแรกคืออะไร?

ทีมจะโดนลงโทษจากเส้นภาษีแรกก็ต่อเมื่อใช้เงินเกิน 172 ล้านเหรียญในการสร้างทีม และนี่คือบทลงโทษของการที่ทีมใช้เงินเกินจำนวนดังกล่าว:

  • ทีมไม่สามารถเสริมตัวผู้เล่นด้วยการ เซ็น-และ-เทรด หากผู้เล่นคนนั้นยังทำให้ทีมใช้เงินเกินภาษีเส้นแรก
  • ทีมไม่สามารถเซ็นกับผู้เล่นที่ถูกเวฟได้ในช่วงฤดูกาลปกติหากรายได้ของเขาเกินข้อยกเว้นมิดเลเวล (Midlevel Exception) ที่ 12.2 ล้านเหรียญ
  • รายได้ที่ตรงกัน (Salary Matching) ของผู้เล่นในการเทรดต้องไม่เกิน 110 เปอร์เซนต์ แทนที่จะเป็น 125 เปอร์เซนต์ สำหรับทีมที่ไม่เกินเส้นภาษีแรก

บทลงโทษของการสร้างทีมเกินเส้นภาษีที่สองคืออะไร?

บทลงโทษทุกอย่างจากภาษีเส้นแรกยังคงอยู่เหมือนเดิม แต่จะมีมากขึ้นเมื่อทีมใช้เงินเกิน 182.5 ล้านเหรียญในการสร้างทีม โดยในฤดูกาล 2023-24 นั้น จะบทลงโทษที่เพิ่มขึ้นมาอย่างเดียวก็คือ:

  • ทีมจะไม่สามารถใช้ ข้อยกเว้นมิดเลเวลของผู้เสียภาษี (Taxpayer Mid-level Exception) จำนวน 5 ล้านเหรียญได้ในการเสิรมทีม

แต่หลังจากจบฤดูกาล 2023-24 แล้ว บทลงโทษจะถูกเพิ่มเข้าไปอีกดังนี้:

  • ทีมไม่สามารถใช้ข้อยกเว้นการเทรด (Trade Exception) โดยการรวบรวมรายได้ของผู้เล่นหลายคน
  • ทีมไม่สามารถใส่จำนวนเงินเข้าไปในการเทรด
  • ทีมไม่สามารถใช้ข้อยกเว้นการเทรด (Trade Exception) ที่สร้างไว้เมื่อปีก่อนหน้า
  • สิทธิ์การดราฟต์รอบแรกในเจ็ดปีข้างหน้าจะถูกแช่แข็ง (ไม่สามารถนำไปเทรดได้)
  • สิทธิ์ดราฟต์รอบแรกของทีมจะถูกย้ายไปอยู่อันดับท้ายสุดของรอบแรกหากทีมอยู่ในเส้นภาษีที่สองในสามปีจากห้าปีหลังสุด

กฎเหล่านี้ค่อนข้างเข้มงวดกว่า CBA ฉบับที่ผ่านมาอย่างชัดเจน เนื่องจากใน CBA ฉบับเก่านั้น เจ้าของทีมที่รวยสามารถสร้างทีมให้เกินภาษีฟุ่มเฟือยได้ตลอดเวลาถ้าหากพวกเขายอมจ่ายค่าปรับ แต่ในตอนนี้พวกเขาจะโดนข้อจำกัดอีกหลายทางไม่ว่าจะเป็นการเทรดหรือการเซ็นฟรีเอเยนต์ ร่วมสมัครทายทีมที่ใช้เงินเยอะสุดในการสร้างทีมของฤดูกาลหน้า ชิงรางวัลกับการแข่งขันNBAได้ที่นี่  

บทความที่เกี่ยวข้อง : สรุปสถานการณ์ฟรีเอเยนต์ NBA 2023 : ใครย้าย ใครอยู่ต่อ ใครรับค่าจ้างแพงสุด?

บทความที่เกี่ยวข้อง : ทีมไหนจะได้ไป? เปิดรายชื่อฟรีเอเยนต์ NBA 2023 ฝีมือดีแต่ยังว่างงาน

NBA LEAGUE PASS สมัครเพื่อชมการแข่งขันเอ็นบีเอสดทุกนัดคลิก

Stephen Noh

Stephen Noh Photo

Stephen Noh started writing about the NBA as one of the first members of The Athletic in 2016. He covered the Chicago Bulls, both through big outlets and independent newsletters, for six years before joining The Sporting News in 2022. Stephen is also an avid poker player and wrote for PokerNews while covering the World Series of Poker from 2006-2008.