“ซูเปอร์ทีม” คือคำกล่าวที่หลายคนบอกว่าคือทีมรวมดาว, ทีมที่รวมซูเปอร์สตาร์เข้ามาไว้ แต่จะว่าไปแล้ว “ทีมรวมดารา” หรือซูเปอร์ทีม หากพูดกันตรงไปตรงมาก็คือ การที่เอาซูเปอร์สตาร์ใน NBA ที่ติดทีมออลสตาร์และมีความยอดเยี่ยมเข้ามาสู่ทีม
ซึ่งหากถามว่าทำไมต้องทำเช่นนั้น หากตอบกันง่ายๆก็คือเพราะว่า เหตุผลด้านการตลาดและอยากที่จะได้แชมป์ หรือโหมด Win Now หรือขอชนะตอนนี้ ในปีนี้เท่านั้น ปีหน้าจะเป็นไงก็ช่าง ปีนี้ขอเป็นแชมป์ก่อน
ในปี 2003-04 ลอสแองเจอลิส เลเกอร์ส ก็เป็นอีกทีมที่ต้องการเข้าสู่โหมด Win Now เพราะทีมมีปัญหาภายในมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการผิดใจกันของ 2 ซูเปอร์สตาร์ประจำทีม ชาคีล โอนีล และโคบี้ ไบรอันท์ ที่มีเรื่องราวหมางใจกันต้ังแต่ช่วง 3 แชมป์แรก จนมาประทุกันในช่วงปี 2003 หลังจากที่คว้าแชมป์สมัยที่ 3 ได้แล้ว ทำให้สื่อเริ่มเล่นประเด็นความผิดใจกัน และยังรวมไปถึงการที่ทีมไม่สามารถคว้าแชมป์ได้ 4 สมัยติดต่อกันได้
เหล่านี้ทำให้แฟนๆเริ่มตั้งคำถามว่า “ทีมจะไปรอดไหม” บวกกับตอนนั้นโคบี้ ไบรอันท์ มีปัญหานอกสนาม ในเรื่องการถูกตั้งข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ กับพนักงานในโรงแรมที่โคโรลาโด จนทำให้ความเชื่อมั่นของทีมนั่นเริ่มดำดิ่งลง
มิช คุปแซค ผู้จัดการทั่วไปของทีมในขณะนั้น ต้องการที่จะดึงความเชื่อมั่นของแฟนๆกลับมา จึงได้มีการดีงเอา 2 ซูเปอร์สตาร์เข้าสู่ทีมนั่นคือ แกรี่ เพย์ตัน และคาร์ล มาโลน
“ในตอนนั้นมีคำถามจากบอร์ดมาถึงผมว่าจะทำอย่างไร ผมเลยเสนอไอเดียไปว่าถ้าเราได้ยอดผู้เล่นอย่างแกรี่ เพย์ตันและคาร์ล มาโลนมา มันจะเยี่ยมไหม สุดท้ายทุกคนต่างเห็นด้วย และสิ่งที่ผมทำคือให้แชคโทรศัพท์ไปคุยกับแกรี่ และคาร์ลสัปดาห์ละครั้งสองครั้ง” นี่คือสิ่งที่ มิช คุปแชค กล่าวถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น
นั่นทำให้แกรี่ เพย์ตันและคาร์ล มาโลน สองผู้เล่นระดับตำนานเข้ามร่วมทีมเลเกอร์ส บวกกับการเคลียร์ใจกันของแชค และโคบี้ ที่โค้ชฟิล แจ๊คสัน เรียกมาปรับความเข้าใจกัน ทำให้เลเกอร์สก่อนเปิดฤดูกาลถูกสื่อดังหลายสื่อจัดให้เป็น “เต็งหนึ่ง” ในฤดูกาลนั้น
เท่านั้นยังไม่พอ บางสื่อบอกว่า “จะสามารถคว้าแชมป์ได้อย่างสบายๆ” เพราะเป็นทีมที่รวมซูเปอร์สตาร์ระดับตำนาน บวกกับมีโค้ชระดับ 9 แชมป์อย่างฟิล แจ๊คสัน จนไม่มีใครคิดว่า ไม่มีทางที่เลเกอร์สจะไม่ได้แชมป์
เส้นทางของเลเกอร์สในฤดูกาลปกติ ถือว่าไปได้อย่างยอดเยี่ยม ทีมชนะไปถึง 56 แพ้ 26 เป็นอันดับที่ 2 ของสายตะวันตก (ตามมินนีโซต้า ทิมเบอร์วูฟส์ ที่ชนะ 58 แพ้ 24) ซึ่งส่วนนึงเป็นเพราะว่าการบาดเจ็บของ ริค ฟ๊อกซ์ และเดเวียน จอร์จ สองผู้เล่นสำคัญของทีม แต่ทั้งคู่ก็สามารถกลับมาเล่นได้อย่างสมบูรณ์ในรอบเพลย์ออฟ
ในช่วงปลายฤดูกาลนั้นทั้งสี่ซูเปอร์สตาร์ต่างมีความมั่นใจ คิดว่าทีมไปได้รอดในเพลย์ออฟแน่นอน และเมื่อมาถึงในรอบเพลย์ออฟเส้นทางก็ไม่ลำบากมาก เลเกอร์สเอาชนะร๊อคเก็ตส์รอบแรก ต่อด้วยเอาชนะสเปอร์สในรอบที่สอง และรอบชิงแชมป์สายก็เอาชนะทิมเบอร์วูฟไปได้แบบสบายๆ
แกรี่ เพย์ตัน ได้กล่าวถึงช่วงนั้นว่า “มันสนุกกันมาเลยในตอนนั้น เราชินกับชัยชนะ แต่แน่นอนว่าทุกคนในตอนนั้นยังไม่คุ้นกับแผนไทรแองเกิ้ลออฟเฟนซ์” ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาบางอย่างของทีมแบบอ้อม ๆ
แน่นอนว่าในรอบชิงชนะเลิศ ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปในแบบที่ทุกคนคาดคิด เลเกอร์สทีมรวมดารา กลับแพ้ให้ดีทรอยท์ พิสตันส์ 1-4 เกม ทั้งที่พิสตันส์ในตอนนั้นไม่มีผู้เล่นดาวเด่นเท่าเลเกอร์ส เรียกได้ว่าทำเอาบรรดาแฟนๆ สื่อที่ถือหางเลเกอร์สว่าจะต้องเป็นแชมป์แน่นอน ต่างหลบหน้ากันแทบไม่ทันทีเดียว
จนเกิดคำถามที่ว่า “เลเกอร์สห่วยแตก หรือพิสตันส์ดีกว่าจริงๆ” ซึ่งบรรดากูรูต่างยอมรับว่า “พิสตันส์ดีกว่าเลเกอร์สจริงๆ” แต่หากจะยกเหตุผลว่า “ทำไมเลเกอร์สไม่ประสบความสำเร็จในฤดูกาลนั้น” พอจะสามารถยกเหตุผลได้ 4 สาเหตุ
ทีมเวิร์คหายไปไหน?
แม้จะบอกว่าบรรดาซูเปอร์สตาร์ทั้ง 4 ต่างเล่นร่วมกันในฤดูกาลปกติได้อย่างไร้ปัญหา รวมถึงในเพลย์ออฟรอบต้นๆด้วย แต่ก็ต้องยอมรับว่าการมีดาวดังมากเกินไป ก็ส่งผลต่อทีมเวิร์คเหมือนกัน
การเล่นกันในฤดูกาลปกติก็เสมือนกับทีม “โชว์ไทม์” ของเลเกอร์สในยุค 80’ ของแมจิค-คารีม-เวอร์ตี้ ซึ่งไม่ต้องเน้นอะไรมากมาย แต่พอเข้ารอบเพลย์ออฟมันไม่มีงานง่ายๆแน่นอน และนี่คือช่วงเวลาที่ทีมเวิร์คขึ้นมามีบทบาทสำคัญเพื่อชัยชนะ
แม้ว่าทั้งเพย์ตัน และมาโลนจะบอกว่า “พวกเรายอมลดบทบาทลง และให้แชค-โคบี้ขึ้นมาเป็นผู้นำทีม” โดยมาโลนทำเฉลี่ย 13.6 แต้มและเพย์ตัน 14.6 แต้ม แต่แม้ว่าจะลดบทบาทลงยังไงก็ตาม แต่เสือก็คือเสือวันยังค่ำ
หลายต่อหลายเพลย์ในรอบเพลย์ออฟที่เพย์ตันและมาโลน กลับต้องการที่จะมาเป็นผู้นำเองในหลายๆครั้ง จนทำให้ระบบต่างๆของทีมรวนในหลายเพลย์ และถูกเปิดเกมสวนกลับ ทำให้เสียแต้มและทีมต้องตกเป็นรอง
ไทรแองเกิ้ลออฟเฟนซ์คือ ปัญหาของซูเปอร์สตาร์
ปฏิเสธไม่ได้ว่าแผนสามเหลี่ยมคือแผนที่ดีที่สุดแผนนึงในโลกบาสเกตบอล เพราะแผนนี้ของปรมาจารย์ เท็กซ์ วินเทอร์ ทำให้บูลส์คว้าแชมป์มา 6 สมัย และเลเกอร์สอีก 3 สมัย ผ่านการนำมาปรับใช้อย่างยอดเยี่ยมของฟิล แจ็คสัน
แต่แผนนี้เป็นแผนที่ลดบทบาทของซูเปอร์สตาร์ลง เพราะต้องเน้นไปที่ทีมเวิร์คของการส่งบอลไปเรื่อย ๆ ไมเคิล จอร์แดน เคยบอกเอาไว้อย่างน่าสนใจเกี่ยวกับแผนนี้ว่า “มันทำให้ผมเหนื่อยน้อยลงนะ ผมถือบอลน้อยลง นั่นทำให้ผมมีพลังเหลือที่จะอัดในควอเตอร์สุดท้าย”
ถึงแม้ว่าแผนนี้จะมีข้อดีมากมาย แต่แผนไทรแองเกิ้ลก็ไม่เหมาะกับทีมที่มีซูเปอร์สตาร์อัดเต็มทีม
ในฤดูกาล 2003-04 เท็กซ์ วินเทอร์ได้บอกถึงเลเกอร์สเอาไว้ว่า “การมียอดผู้เล่นเข้ามาในทีมที่มาก แม้ว่าเหมือนว่าจะดี แต่พวกเค้ายังไม่เข้าใจระบบรุกแบบไทรแองเกิ้ลดีพอ หลายครั้งที่คาร์ลและแกรี่ยังคงสับสนในตำแหน่ง มันทำให้คนอื่นๆพากันรวน มันก็เหมือนกับโดมิโน่แหละ”
เสือสองตัวยังคงอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้
แม้ว่าจะมีข่าวว่าทั้งแชค-โคบี้ จะคืนดีปรับความเข้าใจกันแล้วก็ตาม แต่เบื้องลึกนั่นเกินกว่าที่จะจบลงที่การพูดคุยไกล่เกลี่ยกัน ทั้งเรื่องที่โคบี้ไปบอกสื่อว่าแชคอ้วน หรือแชคไปเรียกสื่อมาประจานตัวโคบี้ รวมถึงอีกหลายต่อหลายเรื่อง ซึ่งโคบี้บอกว่ามันเกินเยียวยาไปแล้ว
นั่นทำให้ระบบทีมเวิร์คของทีมได้ผลกระทบ โดยเฉพาะของตัวของแชค กับโคบี้เองนั่นแหละ การเล่นในแต่ละเพลย์แชค และโคบี้ต่างต้องการบอลมาถือเอง เพื่อแสดงผลงานและทำแต้มให้กับทีม จนลืมถึงระบบทีมเวิร์คไปในขณะนั้น และทำให้หลายเกมต้องจบลงด้วยคำว่าพ่ายแพ้ รวมไปถึงในรอบชิงชนะเลิศ NBA ด้วย
พิสตันส์ดีกว่าหลายขุม
แม้ว่าพิสตันส์จะชนะในฤดูกาลปกติ 54 นัด ซึ่งน้อยกว่าเลเกอร์สก็ตาม แต่ระบบทีมของ แลรี่ บราวน์ โค้ชของพิสตันส์ในเวลานั้น ยังคงเชื่อใจได้
ระบบของบราวน์คือมีการแบ่งแยกบทบาทกันชัดเจน ทั้ง ชอห์นซี่ บิลลัพรับบทบาทผู้นำ, เบน วอลเลซ ตัวป้องกันหลัก, เทชอน ปรินซ์ตัวป้องกันรอง, ริป แฮมิลตันคือคนทำแต้มหลัก และยังมีราชีด วอลเลซรับบทบาท Two Way Player
และปรัชญาของแลรี่บราวน์ก็คือ “เน้นเกมรับก่อนเกมรุก” แม้ว่ามันจะทำให้พิสตันส์เป็นทีมที่เรตติ้งการถ่ายทอดสดน้อย เพราะเหตุผลง่ายๆว่าสไตล์แบบนี้น่าเบื่อ แต่ก็ทำให้พิสตันส์เป็นทีมที่มาเงียบๆและไปถึงฝันได้
หลังซีรีย์ NBA Final ชอห์นซี่ บิลลัพ ได้บอกว่า “หลายคนไม่มั่นใจในทีมเรา ไม่คิดว่าเกมรับจะสามารถพาทีมเป็นแชมป์ได้ แต่พวกเราทุกคนเชื่อมั่นกัน และเราเชื่อมั่นในโค้ชแลรี่”
2003-04 เป็นปีที่แฟนๆเลเกอร์สต่างบอกได้เต็มปากว่า “ผิดหวัง” แม้ว่ายอดขายตั๋วจะเต็มทุกนัด เสื้อของสี่ซูเปอร์สตาร์จะขายเกลี้ยง หรือเรตติ้งทีวีจะถ่ายถอดสดมากมายก็ตาม แต่หากนับความสำเร็จกันแล้วต้องบอกได้คำเดียวว่า “ผิดหวัง”
ซึ่งหลังจากปีนั้น บรรดายอดผู้เล่นซูเปอร์สตาร์ของเลเกอร์สต่างมีทางเดินของตัวเอง หลังจากผิดหวังในรอบไฟนอล
แชคเลือกที่จะย้ายออกจากเลเกอร์ส ไป ไมอามี่ ฮีต, มาโลนประกาศรีไทร์จากวงการบาสเกตบอล NBA และเพย์ตันย้ายไปเล่นให้กับบอสตัน เซลติกส์
ส่วนโคบี้นั้นยังคงอยู่เลเกอร์ส ซึ่งในฤดูกาล 2003-04 แน่นอนว่าการรวมกันของซูเปอร์สตาร์ที่มากมายนั้น ไม่ใช่คำตอบของเกมบาสเกตบอลว่าจะทำให้เป็นแชมป์ได้ แต่คำตอบที่ชัดเจนที่สุดที่ช่วยให้ทีมเป็นแชมป์ก็คือ “ทีมเวิร์ค” ซึ่งเลเกอร์สปี 2003-04 นั้นไม่มีคำนี้ในทีม
NBA LEAGUE PASS สมัครเพื่อชมการแข่งขันเอ็นบีเอสดทุกนัดคลิก