โรเบิร์ต ซาร์เวอร์: ประธานซันส์ปากดีจนโดนปรับร่วม 300 ล้านบาทพร้อมห้ามยุ่งวงการบาส 1 ปี

Jordan Greer

โรเบิร์ต ซาร์เวอร์: ประธานซันส์ปากดีจนโดนปรับร่วม 300 ล้านบาทพร้อมห้ามยุ่งวงการบาส 1 ปี image

เอ็นบีเอได้ประกาศลงโทษโรเบิร์ต ซาร์เวอร์ห้ามยุ่งเกี่ยวกับวงการบาสเกตบอลเป็นเวลา 1 ปีและปรับเป็นจำนวนเงิน 10 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 366 ล้านบาท) จากการสืบสวนอิสระภายในทีมฟีนิกซ์ ซันส์และฟีนิกซ์ เมอร์คิวรี่ เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว


ทางลีกได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน หลังจากแบกซ์เตอร์ โฮล์มส์ได้เขียนบทความลงใน ESPN เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2021 เกี่ยวกับพฤติกรรมของซาร์เวอร์ตลอด 17 ปีที่ผ่านมา ซึ่งในบทความประกอบด้วยคำสัมภาษณ์ของพนักงานซันส์มากกว่า 70 คนว่าเขาเป็นคนสร้าง “ความอันตรายและการเป็นศัตรูระหว่างบุคคลในที่ทำงาน”


เอ็นบีเอได้แถลงการณ์ไว้ว่า “ซาร์เวอร์มีส่วนเกี่ยวข้องเกี่ยวกับการสร้างความรุนแรงในสถานที่ทำงาน ขัดกับนโยบายและกฎของลีก”

หลักฐานสำคัญ

หลักฐานสำคัญในการสืบสวนครั้งนี้ประกอบด้วยการสัมภาษณ์บุคลากร 320 คนและแบบประเมินจำนวน 80,000 ฉบับ และพบว่าซาร์เวอร์ใช้คำที่เกี่ยวข้องทางเพศและล่วงละเมิดกับพนักงานหญิง

 

  • ซาร์เวอร์ใช้คำเหยียดผิวระหว่างการบรรยายถึง 5 ครั้ง ตลอดระยะเวลาการทำงานของเขาที่ซันส์
  • ซาร์เวอร์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการล่วงละเมิดทางเพศพนักงานหญิงในสถานที่ทำงาน รวมไปถึงใช้คำที่เกี่ยวข้องทางเพศในสถานที่ทำงาน ใช้คำพูดวิจารณ์รูปร่างพนักงานหญิง และประพฤติตนไม่เหมาะสมกับพนักงานชายในบางโอกาส
  • ซาร์เวอร์ประพฤติตนเกี้ยวกราดและด้อยค่าด้วยการตะคอกและสาปส่งใส่พนักงาน

 

นอกจากนี้ การสืบสวนยังได้ระบุว่าซาร์เวอร์ “ขาดการควบคุมนโยบายองค์กรที่เหมาะสม”

ผลตอบรับจากเอ็นบีเอ

  • ซาร์เวอร์ห้ามยุ่งเกี่ยวกับซันส์และเมอร์คิวรีเป็นเวลา 1 ปี รวมถึงห้ามเข้าร่วมกิจกรรมใดๆของ NBA และ WNBA และห้ามเข้าร่วมกิจกรรมหรือธุรกิจใดๆที่เกี่ยวข้องกับบาสเกตบอลในช่วงระยะเวลาดังกล่าว
  • ซาร์เวอร์โดนปรับจำนวน 10 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 366 ล้านบาท)  ซึ่งเงินค่าปรับจะนำไปบริจาคให้กับองค์กรที่ “ยอมรับในการจัดการปัญหาเรื่องเพศและสีผิวทั้งในและนอกสถานที่ทำงาน” ผ่านเอ็นบีเอ
  • ซาร์เวอร์ต้องเข้าร่วมหลักสูตรการใช้พฤติกรรมที่เหมาะสมในสถานที่ทำงาน
  • ซันส์และเมอร์คิวรี่ต้องพัฒนาบรรยากาศในสถานที่ทำงาน โดยเอ็นบีเอจะเข้าไปสำรวจทุกกระบวนการอย่างต่อเนื่อง

โฮล์มส์และวอฟนารอฟสกี้ได้รายงานผ่าน ESPN ว่า ซาร์เวอร์นั้นยอมรับบทลงโทษแต่ “ไม่ยอมรับข้อเสนอ”

While the NBA says Robert Sarver "cooperated fully with the investigative process," sources tell @Baxter and me that the Suns owner was unaccepting of idea he deserved a one-year suspension and $10M fine for his behavior. The punitive part of process became largely acrimonious.

— Adrian Wojnarowski (@wojespn) September 13, 2022

แถลงการณ์ฉบับเต็มจากอดัม ซิลเวอร์ ประธานเอ็นบีเอ

แถลงการณ์ในครั้งนี้ได้อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการสืบสวนอิสระนั้นไปเต็มปัญหาและความผิดหวัง เราเชื่อว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดตามข้อเท็จจริง, สถานการณ์และบริบทที่นำไปสู่ทางที่ีดีขึ้นผ่านการสืบสวนฉบับสมบูรณ์ ที่นำไปสู่การยกระดับมาตรฐานในสถานที่ทำงานของเอ็นบีเอ 

 

ข้าพเจ้าเชื่อว่าในสังคมของเอ็นบีเอจะใช้โอกาสนี้สะท้อนว่าเกมที่ยิ่งใหญ่หมายถึงผู้คนทุกพื้นที่จะได้รับความเท่าเทียม, ความเคารพนับถือ และมีสิทธิ์ที่จะนำเสนอการต่อสู้ของตนเอง เราต้องยอมรับผลกระทบที่เจ็บปวดและลดทอนจากการใช้ภาษาและพฤติกรรมอันนำมาซึ่งการเพิกเฉยและด้อยค่าทางเชื้อชาติ ผ่านการใช้ตำแหน่ง, อำนาจและเจตนาใดๆก็ตาม ในฐานะของเอ็นบีเอต้องขออภัยต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำที่ไม่เหมาะสมจากใจจริง มา ณ ที่นี้


จุดเริ่มต้น

ซาร์เวอร์ใช้คำเหยียดผิวในหลายโอกาสไม่ว่าจะเป็น เอิร์ล วัตสัน เฮดโค้ชผิวดำและมีเชื้อสายสเผน ในเกมที่พบวอร์ริเออร์สเมื่อปี 2016

วัตสันได้เล่าให่โฮล์มส์ฟังว่า ซาร์เวอร์เดินเข้ามาในล็อกเกอร์รูมแล้วพูดว่า “ทำไมเอ็งปล่อยให้ไอ้**เดรย์มอนด์ กรีนวิ่งไปทั่วสนามแบบนี้” ซึ่งวัตสันเตือนว่าซาร์เวอร์ไม่ให้พูดแบบนี้ โดยซาร์เวอร์ตอบกลับไปว่า “ทำไม เรียกเดรย์มอนด์ว่าไอ้** แล้วไง” (ซาร์เวอร์ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ เพราะเขาสามารถพูดคำนี้ได้ เนื่องจากเป็นคำที่คนดำใช่กัน)

ผู้บริหารระดับสูงท่านหนึ่งได้เล่าให้โฮล์มส์ฟังว่า ซาร์เวอร์คำเหยียดผิวในการอธิบายให้สตาฟฟ์ฟัง เช่น การจ้างลินด์เซย์ ฮันเตอร์เป็นเฮดโค้ช เมื่อปี 2013 ว่า “จะปลุกทีมไอ้** ต้องให้ไอ้**มาคุม” (ซาร์เวอร์ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ เพราะไม่เคยพูดคำนี้)

พนักงานหลายคนได้พูดถึงการขาดความหลากหลายภายในองค์กรโดยเฉพาะบรรดาหน้าห้องของซาร์เวอร์ “สร้างมลพิษในองค์กร”

ในบทความของ ESPN ได้พูดถึงพฤติกรรมไม่เหมาะสมดังนี้

ในปี 2017 อดีตพนักงาน 2 คน ได้พูดถึงอดีตผู้บริหารผิวขาว 2 คนได้เรียกเพื่อนร่วมงานผิวดำว่า “คาร์ลตัน” ตามตัวละครในซีรีส์ยุค 90 “Fresh the Bel-air” ครั้งหนึ่งเขาเรียกเพื่อนร่วมงานให้ “ทำแบบคาร์ลตัน - เต้นเพลง It’s not Unsual” กับเขา หลายครั้งเพื่อนร่วมงานผิวดำได้หยุดให้ผู้บริหารเลิกเรียกว่าคาร์ลตันสักที แล้วเขาเลิกไปเต้นกับเธออีกเลย


ผู้บริหารท่านนั้นได้พูดกับ ESPN ว่าเขาไม่เคยเรียกเพื่อนร่วมงานไปเต้น และไม่เคยถูกขอเลิกเรียกว่า “คาร์ลตัน” ซึ่งเขาบอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนนั้น “ราบรื่น” และ “เป็นเพื่อนที่น่าเคารพนับถือ”

นอกจากนี้ ซาร์เวอร์ได้หลุดพูดจาหยาบคายระหว่างการประชุมสตาฟฟ์ อย่างเช่น เปิดเผยรสนิยมทางเพศของตัวเขา พนักงานหลายคนอ้างว่าซาร์เวอร์ต้องการ “ถุงยางแม็กนั่มหรือขนาดใหญ่พิเศษ” หรือบอกให้สมาชิกในทีม “อวดความเป็นชาย” (ซาร์เวอร์ได้ปฏิเสธเล่าเรื่่องรสนิยมทางเพศให้ลูกทีมฟัง)

ก่อนฤดูกาล 2008-09 ซาร์เวอร์ได้พูดจาไม่เหมาะสมกับพนักงานหญิงตั้งครรภ์ บอกว่าเธอไม่เหมาะสมกับงานที่ทำในปัจจุบัน พร้อมกลับไล่ไปอยู่บ้านให้นมลูกจะดีกว่า

“ฉันว่าดูเกินไปและไม่เหมาะสม” พนักงานท่านหนึ่งที่คุ้นเคยกับการพูดจาในแบบซาร์เวอร์กล่าว (ซาร์เวอร์พูดกับเดอะซันส์ว่า “กำลังเตรียมหาช่องทางสนับสนุนการทำงานของเธอ”)

อดีตตัวแทนฝ่ายทรัพยากรบุคคลได้เล่าให้โฮล์มส์ฟังว่า พนักงานไม่ได้รับอนุญาตให้ยื่นข้อติชม และสนับสนุนให้ประชุมนอกออฟฟิศ ตัวแทนฝ่าย HR อีกคนหนึ่งได้เรียกบรรยากาศการทำงานของที่นี่ว่า “เป็นสังคมแห่งการประจบประแจง” หนักงานยอมรับกลัวถูกตอบโต้ถ้าหากแสดงความเห็นที่ไม่ถูกใจ

เพนนี ภรรยาซาร์เวอร์ได้ส่งคำขู่ให้พนักงานของซันส์ เช่น “นี่เพนนี ซาร์เวอร์ ตอนนี้พวกเธอไม่มีทางหนีทีไล่แล้ว จำเอาไว้ว่าเธอถูกมัดไว้แล้ว เก็บความเกลียดของเธอไว้ตรงนั้น และจำไว้ว่าความเจ็บที่เธอได้รับจากคำโกหกที่เธอประดิษฐ์ขึ้นมา คิดว่าตัวเองสำคัญงั้นเหรอ ถ้าเธอทำให้ลูกฉันเป็นอะไรขึ้นมา เธอและเอิร์ล วัตสันต้องรับผิดชอบ คิดถึงหน้าลูกเธอไว้”

ลูกจ้างอีกคนหนึ่งก็เคยได้รับคำขู่ทำนองนี้ก็พูดทำนองเดียวกันว่า “ฉันไม่รู้จะแปลให้ต่างจากคำขู่ได้อย่างไร”

การตอบสนองจากซันส์

ทนายของซาร์เวอร์ปฏิเสธกับโฮล์มส์ว่าไม่ได้ใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมทางเชื้อชาติ “ไม่เคยเรียกใครด้วยคำพูดที่เหยียดหยามทางเชื้อชาติ”

แต่เขาก็เคยใช้คำพูดแบบนี้มาก่อนเมื่อหลายปีที่แล้ว แม้ผู้ช่วยโค้ชจะห้าม เว้นแต่เขาอ้างอิงคำพูดจากคนอื่น ซึ่งซาร์เวอร์รับคำขอโทษและจะไม่พูดคำนี้อีกแล้ว

ซาร์เวอร์ได้ออกแถลงการณ์ส่วนตัว สิ่งที่โฮล์มส์รายงานเป็น “เฟกนิวส์” และกล่าวหาว่าเป็น “บทความที่มีอคติ” เพราะมีที่มาจากวัตสันและคนอื่นๆ แต่เขาก็ยอมรับการสืบสวนจากทางเอ็นบีเอ

หลังจากที่ ESPN เผยแพร่บทความ ทางซันส์ได้ออกมาตอบโต่แต่ได้ถูกลบไปแล้วในปัจจุบัน


ซาร์เวอร์รวยมาจากไหน?

ซาร์เวอร์จบจากมหาวิทยาลัยอริโซนาในปี 1982 ทำงานเป็นผู้ตรวจบัญชีในถัดมา เขาเป็นผู้ก่อตั้งธนาคารทักซอนในปี 1984 เมื่ออายุได้ 23 ปี ก่อนขายธนาคารแห่งนี้ให้กับ Zions Bancorporation ในปี 1994 และขึ้นเป็น CEO ของ Western Alliance Bancorporation ในปี 2003

ปี 2004 ซาร์เวอร์ซื้อซันส์จากเจอรี่ โคลันเจโล่ ด้วยมูลค่า 401 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 14,700 ล้านบาท) ซึ่งเป็นสถิติของเอ็นบีเอในเวลานั้น รวมถึงเป็นเจ้าของทีมบาสเกตบอลหญิงฟีนิกซ์ เมอร์คิวรี่ เจ้าของแชมป์บาสเกตบอลหญิง 3 สมัยในปี 2007, 2009 และ 2014 

นอกจากนี้ซาร์เวอร์ยังเป็นเจ้าของทีมฟุตบอลเรอัล มายอร์ก้่าในลีกสูงสุดของสเปนตั้งแต่ปี 2016 อีกด้วย

ยาฮู ไฟแนนซ์ รายงานเมื่อเดือนตุลาคม 2020 ว่าซาร์เวอร์มีทรัพย์สินอยู่ที่ 400 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 14,700 ล้านบาท) ส่วนซัน์มีมูลค่าทรัพย์สินรวมอยู่ที่ 1,800 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 66,000 ล้านบาท)จากการรายการของฟอร์บส์เมื่อเดือนตุลาคม 2021

 

 

 

Jordan Greer

Jordan Greer Photo

Jordan Greer has been with The Sporting News since 2015. He previously worked for the Pittsburgh Post-Gazette. He is a graduate of Westminster College and Syracuse University.