บรรทัดฐานทางสังคมที่กลายเป็นเงื่อนไขทำให้หลายครั้ง ผู้ที่มีความสามารถหรือสุกงอมพอจะโลดแล่นสู่เวทีแห่งชีวิตที่ใหญ่ขึ้น กลับถูกขัดขวางด้วยค่านิยมที่จำกัดเพียงอายุ ประสบการณ์ และเครื่องยืนยันต่าง ๆ ที่บางครั้งสิ่งเหล่านั้นไม่สามารถยืนยันถึงคุณค่าที่แท้จริงของคน ๆ หนึ่งได้เลย
อย่างไรก็ตามในยุคก่อนหน้านี้ ลีกเอ็นบีเอ ที่ครั้งหนึ่งเคยปล่อยให้เด็ก ๆ จากระดับมัธยมปลายมีโอกาสพิสูจน์ตัวเองด้วยการกระโดดเข้าสู่ลีก แม้จะมีจำนวนไม่มากนักที่ประสบความสำเร็จ แต่ก็มีชายคนหนึ่งที่เดินทางของตัวเอง เพื่อพิสูจน์ให้โลกเห็นว่า ถ้าคุณเก่งพอคุณก็แก่พอ ที่จะสร้างความยิ่งใหญ่โดยไม่ต้องรอให้วันและเวลาผ่านเลยไปตามมาตรฐานของสังคม
อ่านเรื่อง ทำความเข้าใจ NBA Leauge Pass ช่องทางสำหรับรับชมบาสเกตบอลเอ็นบีเอ คลิก
บททดสอบก่อนจะเก่ง
เควิน การ์เน็ตต์ อดีตผู้เล่นชื่อดังของทีมมินเนโซตา ทิมเบอร์วูล์ฟส์ และ บอสตัน เซลติกส์ ใช้ชีวิตในวัยเด็กของเขากับแม่และพ่อเลี้ยงพร้อมกับพี่สาว 2 คน ในเมืองกรีนวิลล์ รัฐเซาท์แคโรไลนา เขาเริ่มต้นเล่นบาสเกตบอลในช่วงมัธยมปลายกับทีมโรเรียนมอลดิน อย่างไรก็ตามปัญหาของชีวิตวัยรุ่นทำให้เขาต้องย้ายโรงเรียนหลังจากบทลงโทษที่ไม่เป็นธรรมเท่าไหร่นัก
วอชิงตัน โพสต์ รายงานว่า การ์เน็ตต์และนักเรียนผิวสีอีก 4 คน ถูกจับและโดนตั้งข้อหาทำร้ายร่างกายในระดับที่ 2 โดยในเหตุการณ์มีนักเรียนผิวขาวได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้า ซึ่งแม้พยานในเหตุการณ์จะยืนยันว่า การ์เน็ตต์ ไม่ได้มีส่วนร่วมในการใช้ความรุนแรงครั้งนั้นก็ตาม
แม้ว่า “เคจี” จะสามารถล้างมลทินข้อกล่าวหาของเขาได้ แต่ทั้งครอบครัวและตัวเขาต่างตระหนักดีกว่าการใช้ชีวิตในย่านนี้ซึ่งอาจทำให้ลูกชายของเขาถูกเพ่งเล็งเพราะเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเชื้อชาติ ท้ายที่สุดแล้วครอบครัวของการ์เน็ตต์ จึงย้ายไปอยู่เมืองชิคาโกแทน และ นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเล่นบาสเกตบอลกับโรงเรียนมัธยมปลายแห่งที่สองของเขา
คนทุกคนมีเรื่องที่ไม่ถนัด
การ์เน็ตต์ สานต่อความรักในกีฬาบาสเกตบอลของเขากับทีมฟารากัต อคาเดมี่ ในเมืองชิคาโก้ ความโดดเด่นของเขาช่วยพาทีมทำสถิติชนะ 28 แพ้ 2 เกม และคว้ารางวัลบุคคลมากมายทั้ง ผู้เล่นมัธยมปลายยอดเยี่ยมแห่งปีจากสื่อยูเอสเอทูเดย์ รวมถึงได้รับเลือกให้เป็น มิสเตอร์บาสเกตบอลของรัฐอิลลินอยส์อีกด้วย
“การเล่นบาสเกตบอลที่ชิคาโกสอนอะไรหลายอย่างให้กับผม ทั้งความดุดัน ก้าวร้าว ทัศนคติต่อเกมกีฬา ที่นี่ช่วยให้ผมมีตัวตนที่แตกต่างออกไป และการเจอคู่แข่งที่หลากหลายรวมถึงการแข่งขันที่เข้มข้นมากมาย ก็ช่วยให้ผมพัฒนาเกมของผมได้ดียิ่งขึ้น” การ์เน็ตต์ ยกเครดิตให้กับช่วงเวลาที่เมืองชิคาโก ซึ่งหล่อหลอมให้เขามีแนวทางความเป็นสุดยอดนักกีฬาจนถึงปัจจุบัน
“ผมได้สัมผัสกับชีวิตที่ต้องเอาตัวรอด บทเรียนมากมาย ผมต้องให้เครดิตกับช่วงเวลาที่ชิคาโก ที่นั่นทำให้ผมเป็นเด็กที่พร้อมสำหรับเอ็นบีเอเลยก็ว่าได้” เคจี กล่าวให้สัมภาษณ์ในวันที่เขาได้รับเลือกเข้าสู่หอเกียรติยศ
ความโดดเด่นเกินตัวของเขาทำให้เจ้าตัวคิดถึงการกระโดดเข้าสู่ลีกเอ็นบีเอในการเข้าร่วมดราฟท์ปี 1995 แม้จะมีความโลเลอยู่บ้างเพราะการได้ทุนเพื่อเรียนต่อมหาวิทยาลัยก็เป็นอีกทางเลือกที่ดีและดูปลอดภัยต่ออนาคตของเขามากกว่า อย่างไรก็ตาม “เคจี” ก็ได้บทสรุปที่ชัดเจนเกี่ยวกับอนาคตของตัวเอง
คะแนนการสอบ ACT (American College Testing) ซึ่งเป็นการสอบขั้นพื้นฐานสำหรับการเข้ารับทุนการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยดูเป็นปัญหาของการ์เน็ตต์ “ฉันรู้ว่าตัวเองไม่ฉลาดพอที่จะสอบผ่าน แต่นายจะผ่าน นายจะต้องผ่านมันไปให้ได้” การ์เน็ตต์ เคยกล่าวกับ สเตฟอน มาร์บิวรี่ อดีตการ์ดชื่อดังของลีกซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเขาตั้งแต่การเล่นบาสในระดับมัธยมปลาย และเป็นเพื่อนที่คอยสร้างแรงบันดาลใจให้กับเขาอยู่เสมอ
ในขณะที่ มาร์บิวรี่ ทำคะแนนได้สูงพอจนสามารถเข้าร่วมมหาวิทยาลัยจอร์เจีย และเล่นให้กับ จอร์เจีย เทค ฝ่าย การ์เน็ตต์ ได้อาศัยความเก่งกาจทางด้านทักษะบาสโดยเฉพาะสร้างปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีใครทำมาได้เป็นเวลา 20 ปี
สร้างทางเดินของตัวเอง
เป้าหมายเดียวที่เหลืออยู่ของเคจี คือการเข้าดราฟท์เพื่อมีทีมลงเล่นให้เอ็นบีเอ และในปี 1995 มินเนโซต้า ทิมเบอร์วูล์ฟส์ ซึ่งถือสิทธิเลือกตัวผู้เล่นในลำดับที่ 5 ก็ตัดสินใจเลือกเขาเข้าสู่ทีม นั่นทำให้ การ์เน็ตต์ในวัย 19 ปี กลายเป็นผู้เล่นเอ็นบีเอคนแรกตั้งแต่ปี 1975 ที่กระโดดเข้าสู่ลีกด้วยประสบการณ์นักบาสระดับมัธยมปลายเพียงเท่านั้น
“ผมไม่ได้เล่นบาสเกตบอลเพื่อเงินหรือเพื่อชื่อเสียง แต่ในเวลาที่ผมไม่มีเพื่อนหรือรู้สึกโดดเดี่ยว ผมก็จะหยิบลูกบาสขึ้นมา เดินไปที่ห่วงบาส แล้วทุกอย่างก็ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นมันเป็นแบบนั้นเสมอ” ความรักในกีฬายัดห่วงที่บริสุทธิและฝีมือที่เก่งกาจทำให้เขาได้รับสัญญาก้อนแรก 3 ปี 5.39 ล้านเหรียญ (ประมาณ 205 ล้านบาท)
แม้ชีวิตในฤดูกาลแรกของเขาต้องเริ่มต้นจากตำแหน่งม้านั่งสำรอง แต่ไม่นานนักโค้ชอย่าง ฟลิป ซอนเดอร์ส ซึ่งเข้ามาคุมทีมแทนที่ บิล แบลร์ ในช่วงกลางซีซั่นก็มองเห็นถึงศักยภาพของการ์เน็ตต์ และส่งเขาลงสนามเป็นตัวจริงตลอด 42 เกมหลังสุดในซีซั่น 1995-1996 และ เคจี ก็ไม่พลาดโอกาสที่สร้างผลงานจนติดทีมติดรุกกี้ยอดเยี่ยมในฤดูกาลนั้น
ความยิ่งใหญ่ไม่ต้องรอนาน
หลังจากทีมดราฟท์ มาร์บิวรี่ ซี้ปึกในวัยเด็กของ เคจี มาร่วมทีม มินเนโซตา ทิมเบอร์วูล์ฟส์ ก็โชว์ผลงานชนะ 40 แพ้ 42 เกม เข้ารอบเพลย์ออฟได้เป็นหนแรกของประวัติศาสตร์ แม้พวกเขาจะตกรอบแรกด้วยการแพ้ ฮุสตัน ร็อคเก็ตส์ แบบหมดรูป 0-3 เกม แต่ การ์เน็ตต์ กลายเป็นผลผลิตที่น่าจับตามองอย่างมาก เขาติดออลสตาร์หนแรกในซีซั่นนั้น ด้วยสถิติเฉลี่ย 17 แต้ม 8 รีบาวด์ กับอีก 2.1 บล็อค กับบทบาทสมอลฟอร์เวิร์ดวัย 20 ปี ของทีม
“ผมเคยบอกกับ เคลม ฮาสกินส์ โค้ชของมหาวิทยาลัยมินเนโซต้าว่า ผู้เล่นที่เก่งสุด 2 คนในทีมของผมอายุน้อยกว่าผู้เล่นเก่งที่สุด 2 คนของเขาอีกนะ” ซอนเดอร์ส กล่าว
แม้กระทั่ง ไอเซห์ โธมัส การ์ดระดับตำนานของทีมดีทรอยท์ พิสตันส์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรองประธานของทีมโตรอนโต แร็ปเตอร์ส ในขณะนั้นยังชื่นชมการ์เน็ตต์ไม่ขาดสาย “ฝีมือของเขาทำให้ผมอยากได้ตัวเขามาสำหรับสร้างทีม แค่เขาอยู่ต่อหน้าผมก็รู้สึกได้ถึงพลังอันล้นหลาม ความหลวใหลในเกมบาสเกตบอล เขาทำให้ผมมีประสบการณ์ต่อผู้เล่นอายุน้อยที่ดีที่สุด”
นักบาสวัย 21 ปี กับเงิน 4.8 พันล้านบาท
ก่อนเข้าสู่ฤดูดาลที่ 3 ซึ่งในเวลานั้น เคจี มีอายุ 21 ปี ได้เปิดโต๊ะเจรจาการขยายสัญญากับทีม ซึ่งทีแรกเขาปฏิเสธสัญญาก้อนแรกเนื่องจากเชื่อว่าตนเองควรได้ตัวเลขที่เหมาะสมและมากกว่าสัญญาของ อลอนโซ่ มอร์นิ่ง หรือ จูวาน ฮาร์เวิร์ด ที่ได้จากทีมไมอามี่ ฮีต และ วอชิงตัน บุลเล็ตส์ ณ เวลานั้น
ท้ายที่สุดก่อนเส้นตายการต่อสัญญาเพียงไม่กี่ชั่วโมง เควิน การ์เน็ตต์ กลายเป็นนักบาสเกตบอตที่รับการต่อสัญญา 6 ปี 126 ล้านเหรียญ (ประมาณ 4.8 พันล้านบาท) ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมากสำหรับวงการเอ็นบีเอ ณ เวลานั้น ที่สำคัญนี่คือตัวเลขของผู้เล่นที่ไม่เคยผ่านเวทีระดับมหาวิทยาลัย และ มีอายุเพียง 21 ปี
แม้ว่า ทิมเบอร์วูล์ฟส์ จะไม่เคยประสบความสำเร็จในการลงเล่นรอบเพลย์ออฟ แต่ความโดดเด่นของการ์เน็ตต์ ทำให้แฟน ๆ ของทีมแห่เข้ามาซื้อตัวชมเกมเหย้าเพิ่มมากขึ้น เช่นเดียวกับสถิติของทีมที่ไม่เคยจบฤดูกาลด้วยความพ่ายแพ้มากกว่าการเก็บชัยชนะอีกเลย จนกระทั่งปี 2005-2006
ขณะที่การ์เน็ตต์ กลายเป็นผู้เล่นระดับแนวหน้าโดยเฉพาะทักษะที่ครบเครื่องทั้งเกมบุกที่สามรถชู้ตได้แม่นยำในระยะ 2 คะแนน ลุยเข้าหาห่วงอย่างดุดัน จ่ายบอลได้ดี และเกมป้องกันที่โดดเด่นรอบด้านทั้งการรีบาวด์ การบล็อค และ การขโมยบอล นอกจากนั้นเขายังผันตัวเองเล่นได้ตั้งแต่สมอลฟอร์เวิร์ดไปจนถึงตำแหน่งเซ็นเตอร์ ทำให้หลาย ๆ ฤดูกาลเขาตกเป็นข่าวลือเรื่องการย้ายทีมมาโดยตลอด
ท้ายที่สุดทีมขึ้นป้ายพร้อมเทรด เคจี ในปี 2007 และ การได้ย้ายไปร่วมทีมบอสตัน เซลติกส์ สำหรับสร้างโปรเจควินนาว ร่วมกับ พอล เพียร์ซ, เรย์ อัลเล่น และ ราจอน รอนโด ก็ช่วยให้ การ์เน็ตต์ ซึ่งทุ่มเทในสนามมาเป็นเวลากว่า 10 ปี สัมผัสแชมป์ NBA สมัยแรกและสมัยเดียวของเขาในปี 2008
แม้ว่าเส้นทางหลังการคว้าแชมป์จะดูเป้นช่วงขาลง ทั้งการย้ายไปร่วมทีม บรู๊คลิน เน็ตส์ กระทั่งย้ายมาจบอาชีพกับ ที-วูล์ฟส์ แต่ความสำเร็จและเรื่องราวที่เขาสร้างไว้ ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักกีฬารุ่นหลังมากมาย
ผู้ปฏิวัติคุณค่าของเด็กมัธยมปลาย
ความสำเร็จของการ์เน็ตต์ เหมือนเครื่องที่ช่วยปลดล็อคความกล้าหาญของผู้เล่นในรุ่นต่อจากเขา แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานอย่างชัดเจนว่าเส้นทางที่เขาสร้างไว้จะส่งผลต่อการตัดสินใจของเด็กมัธยมปลายคนไหนบ้าง แต่หลังจากปี 1995 เราได้เห็นซูเปอร์สตาร์มากมายกระโดดเข้ามาสร้างความยิ่งใหญ่ในลีก ด้วยพื้นเพและประสบการณ์เพียงแค่ระดับมัธยมปลายเท่านั้น
โคบี้ ไบรอันท์, เทรซี่ แมคเกรดี้, เจอร์เมน โอนีล, ราชาร์ด ลูวิส, ไทสัน แชนเดอร์, อมาเร่ สเตาเดอไมร์, เลบรอน เจมส์ และ ดไวท์ ฮาร์เวิร์ด คือกลุ่มหนึ่งในผลผลิตจากระดับมัธยมปลายที่เข้ามาสร้างชื่อเสียงในลีกเอ็นบีเอทั้งสิ้น
ก่อนปี 1995 ที่ เคจี จะเข้ามาสู่ลีก มีผู้เล่นเพียงแค่ 2 รายเท่านั้น ที่กระโดดจากระดับมัธยมปลายสู่เอ็นบีเอ คือ ดาร์รีล ดอวกินส์ และ บิลล์ วิลลาฟบี้ แต่หลังจากปี 1996 จนถึงปี 2005 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายก่อนลีกจะประกาศเปลี่ยนกฏการเข้าลีกว่าต้องเป็นผู้เล่นอายุ 19 ปี นั้น มีปัญญาชนคนคลั่งบาสมากถึง 38 คน ที่กล้าเสี่ยงดวงลุยในลีกระดับสูงสุดของโลกเลย
การสร้างความกล้าให้กับผู้เล่นรุ่นหลังก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกด้านผลงานและความสำเร็จของการ์เน็ตต์ ยังมีส่วนช่วยเปลี่ยนมุมมองและทัศนคติของผู้บริหารทีมต่าง ๆ ด้วยว่า เด็กอายุ 18 ปีเหล่านี้ ถ้ามีดีพอ พวกเขาก็ควรจะหยิบยื่นโอกาสให้ทันที ไม่จำเป็นต้องรอให้พวกเขาเข้าเกณฑ์ที่กลายเป็นมาตรวัดอันเปล่าประโยชน์
เพราะโลกของกีฬา หรือ แม้แต่ทุกสังคมของเราในทุกวันที่ ถ้าใครสักคนก้าวขึ้นมาเก่งพอ พวกเขาก็แกร่งพอที่จะสร้างความยิ่งใหญ่ในแบบของพวกเขาได้