ฟีนิกซ์ ซันส์ ในยุคการทำทีมของ มอนตี้ วิลเลียมส์ มีศักยภาพที่ยอดเยี่ยมจนสามารถผ่านเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศมาได้เมื่อฤดูกาล 2020-2021
อย่างไรก็ตามหากน้อยกลับไปราวๆ 15 ปีที่แล้ว พวกเขาเคยสร้างปรากฏการณ์ที่หลายคนคงจำได้ดีกับภาพเกมบุกที่รวดเร็ว ร้อนแรง และสวยงาม สไตล์อันโดดเด่นของซันส์ยุคนั้นคือการเล่น Fast Break หรือในการแข่งขันฟุตบอลที่เราจะคุ้นหูกับคำว่าโต้กลับเร็ว ซึ่งเป็นการเล่นด้วยความเร็วที่ใช้จังหวะไม่มากในการเคลื่อนที่จากฝั่งตัวเองไปจบด้วยการลุ้นทำคะแนนในแดนคู่แข่ง
เมื่อทีมสามารถเปลี่ยนเกมรับเป็นเกมรุกได้ในเวลาเพียง 7 วินาที นั่นหมายความว่าทีมป้องกันยังไม่สามารถจับต้นชนปลายเกมรับได้ โอกาสเจอพื้นที่ว่างซึ่งมาจากการกลับลงมาตั้งรับไม่ทัน หรือแม้ว่าทันแต่ก็ยังไม่สามารถเซ็ตอัพได้ไม่พร้อมนัก ทำให้หลายทีมในยุคนั้นถูกเกมเร็วของซันส์เล่นงาน โดยที่พวกเขายังไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำ
แม้ว่าสุดท้ายแล้ว ซันส์ ในยุค 7 Second or Less จะไปไม่ถึงฝั่งฝัน แต่วิธีการเล่นเกมบุกของพวกเขาได้ถูกยกย่อง และเป็นแบบอย่างของทีมบาสสมัยใหม่หลายๆทีม
ครั้งนี้ The Sporting News ขออาสานำทุกท่านกลับไปตามหาขุมพลกำลังหลักจากชุด “ซันส์ 7 วิ” ว่าพวกเขาเป็นใครและอยู่ไหนกันบ้าง ติดตามกันได้เลยที่นี่
ชอว์น แมเรี่ยน
ฟอร์เวิร์ดผู้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยลูกชู้ตที่เปรียบเหมือนท่าดีดลูกหิน และได้รับฉายาว่า “เดอะ แมทริกซ์” จากลีลาการเคลื่อนไหวบนคอร์ทการแข่งขัน โดยผู้เล่นรายนี้เก่งทั้งเกมบุกและเกมป้องกัน
นับตั้งแต่ถูกซันส์ดราฟท์เข้ามาในอันดับที่ 9 ในปี 1999 แมเรียน สร้างผลงานที่ดีได้สม่ำเสมอ โดยเฉพาะปี 2005-2006 เขาทำเฉลี่ย 21.8 แต้ม กับ 11.8 รีบาวด์ และความเก่งอาจของเขาทำให้ช่วงบั้นปลายอาชีพได้โอกาสคว้าแชมป์กับ ดัลลัส แมฟเวอริกส์ ในปี 2011 เป็นเกียรติประวัติแก่ตัวเขาเอง
ล่าสุดในปี 2018 มีรายงานว่าเขาได้เข้าซื้อหุ้นของนิวซีแลนด์ เบรคเกอร์ส ทีมยัดห่วงในออสเตรเลีย โดยการชักชวนของ แมตต์ วอลช์ อดีตผู้เล่นเอ็นบีเอของทีมไมอามี่ ฮีต ซึ่งมีประสบการณ์ตะลอนเล่นในยุโรปนานนับทศวรรษ
นอกจากนั้นอดีตออลสตาร์ 4 สมัย ยังทำงานในลีก Next Stars ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ให้โอกาสผู้เล่นดาวรุ่งที่ไม่ต้องการลงเล่นในระดับจีลีก หรือ ในมหาวิทยาลัย ได้ลงแข่งขันระดับอาชีพที่ออสเตรเลียเพื่อเสริมความแข็งแกร่งก่อนตัดสินใจเข้าดราฟท์ ผลงานเด่น ๆ ที่ผ่านมา คือ ลาเมโล่ บอล และ อาร์เจ แฮมป์ตัน
เลอันโดร บาร์บอซ่า
บราซิเลียนอันตรายแห่งวงการบาสเกตบอล ด้วยความเร็วและความแม่นยำในการชู้ต 3 คะแนน เขาถือเป็น 1 บุคคลที่สร้างชื่อเสียงให้กับวงการบาสจากแดนอเมริกาใต้ไม่แพ้ มานู จิโนบิลี่ เลยก็ว่าได้
ดราฟท์อันดับ 28 ในปี 2003 อยู่กับซันส์ 7 ปี ฝากทักษะความเป็นจรวดทางเรียบเอาไว้ให้กับแฟน ๆ แต่รวมถึงได้ตำแหน่งสำรองยอดเยี่ยมปี 2007 ซึ่งฤดูกาลนั้นเขาทำเฉลี่ย 18.1 แต้มต่อเกม
อย่างไรก็ตามความสำเร็จสูงในการคว้าแชมป์ 2 สมัยของเขาดันเกิดขึ้นกับ โกลเด้น สเตท วอริเออร์ส โดย 1 ครั้งในฐานะผู้เล่นเมื่อปี 2015 และ อีกครั้งคือ ปี 2022 ในฐานะสต๊าฟฟ์โค้ชของสตีฟ เคอร์ แต่ในซีซั่นที่กำลังจะเปิดฉากนี้ บาร์บอซ่า จะปรากฏตัวออกสื่อในฐานะผู้ช่วยโค้ชของ ไมค์ บราวน์ ที่ซาคราเมนโต คิงส์
สตีฟ แนช
ศูนย์กลางของการสร้างสุดยอดระบบรันแอนด์กัน แนช เปรียบเสมือนจิตรกรที่บรรเลงงานศิลปะของเขาผ่านลูกบาสเกตบอล ด้วยเทคนิคการเลี้ยง ความเฉียบคมของสายตาที่สอดส่องหาเพื่อนที่ว่างทั้งในจังหวะทั่วไปหรือจังหวะเหลือเชื่อ ความแม่นในการชู้ต ฯลฯ ทำให้เขาถูกยกย่องว่าเป็นสุดยอดการ์ดแห่งยุค
แม้ว่าเขาจะอยู่ในกลุ่มราชาไร้มุงกุฎ และมีข้อครหาเล็กน้อยกับตำแหน่งผู้เล่นทรงคุณค่าปี 2005 และ 2006 แต่พรสวรรค์ของการสร้างสรรค์เกมของแนช หาใครมาเทียบได้อย่าง และ ภาพทุกอย่างชัดเจนในช่วงเวลาที่เขาคือแกนกลางของ ซันส์ 7 วิ
หลังจากรีไทร์ในปี 2015 จากความล้มเหลวกับเลเกอร์สในปีซูเปอร์ทีม แนช ถูกทาบทามให้มาเป็นที่ปรึกษาด้านการพัฒนาผู้เล่นกับทีมวอริเออร์สซึ่งทีมสะพานทองก็ได้สร้างสถิติ ชนะ 73 แพ้ 9 แต่ฤดูกาลดังกล่าวพวกเขาแพ้ให้กับ คาวาเลียร์ส ในรอบชิงชนะเลิศ อย่างไรก็ตาม 1 ปีต่อมาพวกเขาล้างแค้นได้สำเร็จ และทำให้แนชได้มีส่วนร่วมกับทีมที่คว้าแชมป์เป็นครั้งแรกในชีวิต
ความสามารถของแนชเข้าตาบอร์ดบริหารของทีมบรู๊คลิน เน็ตส์ ซึ่งตัดสินใจจ้างงานเขาในตำแหน่งโค้ช และ อดีตการ์ดออลสตาร์ 8 สมัย ก็นั่งแทนคุมทีมมาจนถึงปัจจุบันนี้
อมาเร่ สเตาเดอไมร์
ถ้าจะมีใครสักคนที่รู้ใจและเข้าขากับแนชมากที่สุดก็คงเป็นอดีตเซ็นเตอร์ออลสตาร์ 6 สมัยรายนี้ ถ้าคุณได้ดูท็อปไฮไลท์โดยส่วนมาก แนช จะเป็นผู้ป้อนบอลงาม ๆ และ สเตาเดอไมร์ จะเป็นคนที่สอดขึ้นมารับบอลแล้วดั๊งค์ใส่ห่วงอย่างดุดัน
หากมองย้อนกลับไปเขาคือหนึ่งในเซ็นเตอร์ระบบสมอลล์บอลยุคแรก ๆ ของลีก เพียงแต่ยุคนั้นแผนดังกล่าวยังไม่ได้รับความนิยม แต่จากร่างกายที่แข็งแกร่งและคล่องแคล่วทำให้ สเตาเดอไมร์ โลดแล่นด้วยผลงานระดับท็อปได้ระยะหนึ่ง ก่อนจะเจออาการบาดเจ็บเล่นงาน และช่วงขาลงหลังจากย้ายมาร่วมงานกับทีม นิวยอร์ก นิกส์ ก่อนจะจบอาชีพในลีกกับทีมไมอามี่ ฮีต ปี 2016
อย่างไรก็ตามเขายังตะลอนไปเล่นลีกอิสราเอลกับทีม อาโปเอล เยรูซาเล็ม และ มัคคาบี้ เทล อาวีฟ รวมถึงมีช่วงเวลาในลีกจีนกับทีม ฟูเจียน สเตอร์เจียน
บทบาทล่าสุดหลังอำลาชีวิตนักยัดห่วง สเตาเดอไมร์ ย้อนกลับมาร่วมงานกับซี้เก่าอย่างแนชที่ทีมเน็ตส์ เขาได้รับหน้าที่ผู้ช่วยฝ่ายพัฒนาผู้เล่น แต่เมื่อพฤษภาคมที่ผ่านมาเจ้าตัวได้ประกาศขอแยกทางกับทีมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นสถานะตอนนี้ของเขาคงกำลังมองหางานใหม่ในลีกอยู่
จิม แจ็คสัน
แม้จะเป็นจอมพเนจรคนหนึ่งของลีก และมาร่วมทีมซันส์ในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่เขาก็มีบทบาทที่ดีพอตัวในฤดูกาล 2004-2005 ซึ่งขึ้นมาทำหน้าที่แทน โจ จอห์นสันที่บาดเจ็บ แต่ฤดูกาลต่อมาเขาได้รับโอกาสลงเล่นน้อยลง และถูกปล่อยตัวไปก่อนจะจบเส้นทางนักบาสกับทีมเลเกอร์ส ในปี 2006
อย่างไรก็ตามชีวิตหลังการเป็นนักกีฬาดูจะสร้างชื่อเสียงให้เขาพอตัว เพราะ แจ็คสันรับงานมากมายทั้งเป็นฝ่ายวิเคราะห์เกมของ ฟ็อกซ์ สปอร์ต, เทอร์เนอร์ สปอร์ต และบอลลี่ สปอร์ต เวสต์ ของทีม คลิปเปอร์ส โดยล่าสุดยังมีงานกับช่องบิ๊กเท็น เน็ตเวิร์ค อีกด้วย
บอริส เดียว
นักบาสเกตบอลชาวฝรั่งเศสที่มากไปด้วยความสามารถและพรสวรรค์ในการเล่นครบทั้ง 5 ตำแหน่ง เขาได้รับฉายาหลังจากแจ้งเกิดกับทีมซันส์ว่า 3D ซึ่งมาจาก Drive, Dish, Defend แถมหมายเลขเสื้อที่เขาลงสนามก็ยังเป็นเบอร์ 3 อีกด้วย
เดียว ถือเป็นผู้เล่นอันเดอร์เรทในสายตาคนดู แต่ได้รับการยกย่องจากเพื่อนร่วมลีกอย่างมาก เขาโลดแล่นอยู่ในเอ็นบีเอ 14 ฤดูกาล และ คว้าแชมป์ได้ 1 สมัย กับทีมซานอันโตนิโอ สเปอร์ส
ปัจจุบัน อดีตเจ้าของรางวัลผู้เล่นพัฒนายอดเยี่ยมปี 2006 นั่งแท่นตำแหน่งประธานของทีม เมโทรโปลิแทนส์ 92 ในโปรเอลีก ของประเทศบ้านเกิด และเขาคือคนที่เจอ วิคเตอร์ เวมบันยาม่า เมื่อราว ๆ 4 ปีที่แล้ว และสามารถดึงตัวมาร่วมทีมได้ในที่สุด
ราจา เบลล์
เบลล์ คือมือปืนจอมแม่นประจำทีมซันส์ ตลอด 4 ฤดูกาลที่เขาอยู่กับทีมไม่เคยชู้ตระยะ 3 คะแนนต่ำกว่า 40% เลย และตลอดอาชีพชู้ตลงมากถึง 40.6% นอกจากนั้นแล้วเขายังเป็นผู้เล่นเกมรับที่ดีอีกด้วย
หลังออกจากซันส์ เขาตระเวนไปอยู่กับ บ็อบแค็ตส์, วอร์ริเออร์ส และปิดฉากอาชีพกับ แจ๊ซ
หลังจากเลิกเล่นเขารับงานผู้อำนวยการพัฒนาผู้เล่นที่คาวาเลียร์สอยู่ปีเศษ ๆ ก่อนจะมาลงหลักปักฐานกับการเป็นนักจัดรายการของ The Ringer เว็บไซต์กีฬาของประเทศสหรัฐฯ
มีเรื่องตลกเกี่ยวกับ เบลล์ คือ เขาเคยสมัครบัญชีอินสตาแกรมด้วยชื่อ Rajadia19 ซึ่งได้รับการอนุมัติทันที แต่ล่าสุดเมื่อปี 2020 เขาสมัครบัญชีทวิตเตอร์ในชื่อ Rajabell19 ปรากฏว่าจนถึงทุกวันนี้บัญชียังไม่ได้รับการยืนยันแต่อย่างใด
เอ็ดดี้ เฮ้าส์
เฮ้าส์ เคยมาเป็นแบ็คอัพตำแหน่งการ์ดช่วงสั้นๆระหว่างปี 2005-2006 แต่โดดเด่นใช้ได้ทำเฉลี่ย 9.8 แต้ม ก่อนจะย้ายออกจากทีม กระทั่งไปคว้าแชมป์กับเซลติกส์ในปี 2008 และเลิกเล่นกับ ไมอามี่ ฮีตในปี 2011 ปัจจุบันเขารับงานกับช่อง NBC Sport Boston ทำหน้าที่เป็นผู้วิเคราะห์การแข่งขัน
เจมส์ โจนส์
แม้ว่าจะอยู่กับซันส์เพียงแค่ 2 ปี แต่เป็นช่วงเวลาที่เขาได้มีส่วนร่วมกับทีมแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากที่สุดในอาชีพ ก่อนจะถูกจดจำในฐานะลูกหาบคนสนิทของเลบรอน เจมส์ ที่หนีบเขาไปคว้าแชมป์ 3 สมัยร่วมกันที่ ไมอามี่ ฮีต 2012 และ 2013 รวมทั้ง กับคาวาเลียร์ส ปี 2016
หลังจากเลิกเล่น โจนส์เคยมีบทบาทในตำแหน่งเลขาฯ และเหรัญญิกของสมาคมผู้เล่นเอ็นบีเอ มารับงานในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปของซันส์ โดยคว้ารางวัลผู้บริหารทีมยอดเยี่ยมในปี 2020-2021 อีกด้วย สมกับราคาฉายา “แชมป์” ที่ถูกตั้งให้จริงๆ
ทิม โธมัส
ลงเล่นช่วงสั้น ๆ กับซันส์เพียงฤดูกาลเดียว และ ทำหน้าที่ในสนามแค่ 26 เกม เขาย้ายไปร่วมทีมอื่นหลังจบฤดูกาลและปิดเส้นทางอาชีพกับ ดัลลัส แมฟเวอริกส์ ปี 2010 เนื่องจากต้องการกลับไปดูแลภรรยาที่ป่วยหนัก
เคิร์ท โธมัส
กำลังเสริมวงในชั้นดีของทีม ที่โดดเด่นเรื่องความหนักหน่วงและดุดัน หลังจบ 2 ฤดูกาลกับซันส์ เขาก็ย้ายไปร่วมงานกับอีกหลายทีม ก่อนจบเส้นทางนักบาสกับนิวยอร์ก นิกส์ ในปี 2013
ไมค์ ดิ แอนโธนี่
เฮดโค้ชผู้โด่งดังกับการเน้นเกมบุกแบบรันแอนด์กัน เขาคือตัวแปรสำคัญในการสร้างยุคซันส์ 7 วิ รวมถึงคว้ารางวัลอันดับ 2 ของเฮดโค้ชยอดเยี่ยมแห่งปีในฤดูกาล 2016-2017 ซึ่งตอนนั้นคุมทีม ฮุสตัน ร็อคเก็ตส์
ปัจจุบันโค้ชชาวอิตาเลียน-อเมริกัน นั่งแท่นในตำแหน่งที่ปรึกษาโค้ชของทีมนิวออร์ลีนส์ เพลิแกนส์