ด้วยการที่ต่างคนต่างแยกย้ายออกไปอยู่คนละที่ เจมส์ ฮาร์เด้น ไปอยู่กับ ซิกเซอร์ส, ไครี เออร์วิง ไปร่วมทีมกับ ดอนซิช ที่ ดัลลัส และ เควิน ดูแรนท์ ไปอยู่กับ ฟินิกซ์ ซันส์ เพราะฉะนั้นยุค “บิ๊ก ทรี” ของ บรูคลิน เน็ตส์ จึงเป็นอันล่มสลายลงไปอย่างเป็นทางการในช่วงเส้นตายการเทรดที่ผ่านมา
ถ้าย้อนกลับไปมองตอนที่สามคนนี้เข้ามารวมกันในฤดูกาล 2020-21 ทุกคนต่างอยากเห็นว่าเมื่อผู้เล่นที่มีสุดยอดฝีมือการทำแต้มทั้งสามคนมารวมกันในทีมเดียวจะเป็นอย่างไร
อ่านบทความ: ใครได้ ใครเสีย? หลัง เควิน ดูแรนท์ ประเดิมสนามกับ ฟินิกซ์ ซันส์
ทั้ง ดูแรนท์ ที่เป็นแชมป์การทำแต้มสี่สมัย, เออร์วิง ที่ทำไป 27.4 แต้มต่อเกมในฤดูกาลก่อนหน้าแม้จะได้เล่นแค่ 20 เกมเนื่องจากอาการบาดเจ็บ และ เจมส์ ฮาร์เด้น ที่พึ่งเป็นแชมป์การทำแต้มล่าสุดก่อนย้ายมาร่วมทีมเน็ตส์
หลังจากที่ถูกเทรดมายัง เน็ตส์ ทางด้าน ฮาร์เด้น ก็ได้โพสต์ลงทวิตเตอร์ของตัวเองเกี่ยวกับทีมของ เน็ตส์ ในตอนนั้นว่า “ชั่วโมงนรก” ซึ่งสื่อถึงคู่ต่อสู้ที่จะต้องเจอชั่วโมงที่เหมือนนรกแน่ๆในการปิดพวกเขาทั้งสามคน
SCARY HOURS!
— James Harden (@JHarden13) January 19, 2021
แน่นอนว่า “ชั่วโมงนรก” ที่เกิดขึ้นนั้นมีเพียง… 16 เกมเท่านั้นเพราะ All-Star ทั้งสามคนลงเล่นร่วมกันแค่ 12.7 เปอร์เซนต์เท่านั้นจาก 126 เกมที่สามารถลงด้วยกันได้ในช่วงฤดูกาลปกติและเกมเพลย์ออฟก่อนที่ เจมส์ ฮาร์เด้น ถูกเทรดออกไปยัง ซิกเซอร์ส ในช่วงเส้นตายการเทรดปี 2022
ไม่ว่าจะทั้งอาการบาดเจ็บหรือการที่ ไครี เออร์วิง เลือกจะไม่ฉีดวัคซีน ก็คือประเด็นใหญ่ในการขาดหายของผู้เล่นทั้งนั้น ซึ่งก็ส่งผลให้พวกเขาทั้งสามคนลงเล่นด้วยกันน้อยมากๆ แต่เมื่อทั้งสามคนเล่นด้วยกัน พวกเขาก็สุดยอดไม่แพ้ใคร
วันนี้เราจึงจะพาทุกคนย้อนกลับไปดูความโหดเมื่อพวกเขาลงพร้อมกันหน่อยว่าจะดุเดือดเลือดพล่านแค่ไหน
จะเกิดอะไรขึ้นหากทั้งสามคนนี้ได้เล่นด้วยกันมากกว่านี้?
16 คือตัวเลขมงคลสำหรับ บิ๊ก ทรี ชุดนี้ เมื่อทั้งสามคนลงพร้อมกันพวกเขาชนะไป 13 นัดและแพ้เพียง 3 นัดเท่านั้น แบ่งเป็น 8-2 ในฤดูกาลปกติและ 5-1 ในช่วงเพลย์ออฟ
หากอ้างอิงสถิติจาก Basketball Reference พวกเขาลงเล่นพร้อมกันแค่ 365 นาทีเท่านั้นแต่กลับมีค่าบวกลบถึง บวก 113 เลยทีเดียว
แน่นอนว่าการที่มีสุดยอดผู้เล่นเกมรุกถึงสามคนอยู่ในทีมเดียวกัน ค่าเรตติ้งเกมรุกจึงพุ่งพรวดจนทะลุปรอทแบบไม่ยั้ง
ใน 10 เกมที่พวกเขาได้เล่นในฤดูกาลปกติด้วยกัน เน็ตส์ มีเรตติ้งเกมรุกที่ 119.0 (อ้างอิงจาก Sport Illustrated) ซึ่งนี่คือค่าเรตติ้งเกมรุกที่ดีสุดในประวัติศาสตร์ NBA เลยทีเดียว แต่ไม่พอเพราะยังมีที่เดือดกว่านั้น...
พวกเขาทั้งสามคนจัดเรตติ้งเกมรุกในเพลย์ออฟไปถึง 137.2 แต้มต่อ 100 การครองบอล ในช่วงหกเกมที่ลงเล่นด้วยกัน (หากอ้างอิงจาก Stats Perform) ซึ่งแน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติที่ทีมธรรมดาๆเขาทำกัน
บรูคลินมีเพียงเพลย์ออฟซีรีส์เดียวเท่านั้นที่ “บิ๊ก ทรี” ได้ลงเล่นพร้อมกันโดยชนะ บอสตัน เซลติกส์ ที่ไม่มี เจเลน บราวน์ ไปได้ 4 ต่อ 1 เกมในเพลย์ออฟรอบแรก และต้องบอกเลยว่าผลงานเกมรุก เล่นเอาซะอีกฝั่งปวดหัวจนไปไม่ถูกเลยทีเดียว
เกม | ผลการแข่งขัน | ดูแรนท์ | ฮาร์เด้น | เออร์วิง | แต้มรวม |
เกม 1 | ชนะ, 104-93 | 32 | 21 | 29 | 82 |
เกม 2 | ชนะ, 130-108 | 26 | 20 | 15 | 61 |
เกม 3 | แพ้, 125-119 | 39 | 41 | 16 | 96 |
เกม 4 | ชนะ, 141-126 | 42 | 23 | 39 | 104 |
เกม 5 | ชนะ, 123-109 | 24 | 34 | 25 | 83 |
หลังจากที่แพ้ในเกมที่สามที่ “บิ๊ก ทรี” จะทำรวมกันไปถึง 96 แต้ม ในเกมต่อมาพวกเขาจึงจัดหนักใส่ เซลติกส์ จนเป็นประวัติศาสตร์เลยทีเดียว
ด้วยการที่ ดูแรนท์ กดไป 42 แต้ม, เออร์วิง อีก 39 และ ฮาร์เด้น กดแบบสบายๆไปอีก 23 แต้ม ทำให้สามเกลอกดรวมกันไปทั้งหมด 104 แต้ม ทาบสถิติกับทีม เซลติกส์ ในปี 1973 ที่มีผู้เล่นสามคนทำแต้มรวมกันได้มากที่สุดในเพลย์ออฟเกมเดียวจากทั้ง จอห์น ฮาฟลิเชค (54), โจ โจ ไวท์ (34) และ เดฟ โคเวนส์ (16)
และถึงแม้ว่าในรอบรองชนะเลิศสายตะวันออกปี 2021 ทั้ง เออร์วิง และ ฮาร์เด้น จะต้องเข้าๆออกๆในไลน์อัพจากอาการบาดเจ็บแต่ ดูแรนท์ ก็ยังสามารถพาทีมไปถึงเกมเจ็ดจนได้และห่างจากชัยชนะเพียงหนึ่งข้อนิ้วโป้งเท้าเท่านั้น
ถ้าหากว่าสามคนนี้อยู่ร่วมในสนามกันมากกว่านี้ เราอาจจะได้เป็นพยานที่จะได้เห็นซุปเปอร์ทีมที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ NBA ก็เป็นได้ แต่ก็อย่างที่ว่าไปว่ามันคงไม่มีทางย้อนเวลาหรือทำให้มันเกิดขึ้นได้อีกแล้ว นี่จึงกลายเป็นอีกหนึ่ง “ถ้าหาก” ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ เน็ตส์ และ NBA ก็ว่าได้
NBA LEAGUE PASS สมัครเพื่อชมการแข่งขันเอ็นบีเอสดทุกนัด คลิกเลย