หลังจากที่ในช่วง 2 นัดแรกของพรีเมียร์ลีก แฟนฟุตบอลล้อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกันสนุกปาก ในฐานะบ๊วยของพรีเมียร์ลีก
แต่นั่นเป็นแค่ทีมบ๊วยปลอมที่ไม่อาจเทียบเลสเตอร์ ซิตี้ได้ เพราะนี่คือทีมที่เต็มไปด้วยปัญหา และความย่ำแย่แบบที่หาทีมไหนในพรีเมียร์ลีกชั่วโมงนี้มาเทียบได้
พวกเขาคือทีมที่แย่ที่สุดและคู่ควรทุกประการกับการอยู่อันดับที่ 20 ของตารางคะแนน
เลสเตอร์ ซิตี้ ในฤดูกาลนี้ ดูเหมือนพวกเขามีขุมกำลังที่ยังน่าสนใจเหมือนเดิม หากอยู่ในช่วงท็อปฟอร์ม แต่ปัญหาโดยรอบก็มีมากมายเต็มไปหมดตั้งแต่ในสนามยันนอกสนาม
ซึ่งเราจะพาไปดูปัญหาของเลสเตอร์ที่ทำให้พวกเขาจมอยู่อันดับสุดท้าย และอาจถึงการเปลี่ยนแปลงในคิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม
ปัญหานอกสนาม
โดยนอกสนามก็จะเป็นปัญหาเรื่องของการเงินมาเกี่ยวข้อง หลังจากการระบาดของโควิด-19 ทำเลสเตอร์ ซิตี้ ขาดทุนทางการเงิน และจำเป็นต้องหาเงินก้อนโตมาเคลียร์หนี้สโมสรให้ทีมเดินหน้าต่อไป
จนทีมต้องพยายามโก่งราคาในการขายเวสลี่ย์ โฟฟาน่า กองหลังตัวเก่งให้เชลซีแบบเต็มสูบ แม้จะได้เงินก้อนโตมา แต่เกมรับของทีมก็ยวบลงไปเยอะ
นอกจากนี้ ทีมยังแทบไม่ได้เสริมนักเตะใหม่ ๆ เข้าสู่ทีมเลย การย้ายออกไปของแคสเปอร์ ชไมเคิล นี่คือช่องโหว่ที่ชัดเจนที่สุด ชไมเคิลคือผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของเลสเตอร์ และเขาช่วยทีมไว้เยอะมาก ๆ การเสียเขาไปส่งผลกระทบต่อทีมแน่นอน
แต่เลสเตอร์ไม่ได้ซื้อผู้รักษาประตูคนใหม่มาแทนที่ แต่เลือกดัน แดนนี่ วอร์ด ผู้รักษาประตูมือสองขึ้นมาแทน ไม่สามารถช่วยเซฟทีมได้เลยแม้แต่นิดเดียว แบบที่แคสเปอร์ช่วยทำมาเสมอ ตอนนี้เขาโดนยิงไปแล้ว 22 ประตูจาก 7 เกมแรก ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าเขาไม่มีความพร้อมเลยที่จะป้องกันประตู
รวมถึงแพทสัน ดาก้า ที่ต้องเป็นตัวแทนโดยตรงของเจมี่ วาร์ดี้ ที่โรยราเล่นเป็นตัวจริงทั้งฤดูกาลไม่ไหว แต่ดาก้ายิงไปแค่ 1 ประตูเท่านั้นจากการลงเล่น 6 เกมในพรีเมียร์ลีก ซึ่งแน่นอนว่าดาก้าเป็นกองหน้าคนละระดับกับวาร์ดี้อยู่แล้ว แต่ทีมก็ไม่ได้คิดจะหาหน้าที่ดีกว่าดาก้ามาแทนที่วาร์ดี้เช่นกัน
แบรนแดน ร็อดเจอร์ส ผู้จัดการทีมของเลสเตอร์เคยออกปากว่า เขารู้สึกเสียใจที่บอร์ดบริหารไม่สนับสนุนทีม และตัวเขาอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งนั่นนำมาซึ่งปัญหาในสนาม
ปัญหาในสนาม
ส่วนในสนามก็บอกเลยว่ามันมีเยอะแยะเต็มไปหมดกว่าที่แฟนๆเลสเตอร์คาดการณ์เอาไว้ในช่วงก่อนเริ่มฤดูกาล
นอกจากผู้รักษาประตูอย่างวอร์ดจะแทนแคสเปอร์ไม่ได้เลย แนวรับของทีมที่ขาดโฟฟาน่า ก็รั่วยับเยินเปิดโอกาสให้ทีมบุกของคู่แข่งได้มีโอกาสยิงประตูเป็นว่าเล่น ซึ่งก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ทีมเสียประตูจำนวนมาก
ขณะที่ผู้เล่นคนอื่น ๆ ก็ดูหมดใจจะเล่น เพราะทีมก็เห็นชัดว่ากำลังเดินถอยหลังจึงกลายเป็นว่านักเตะหลายคนฟอร์มตกกันแบบน่าใจหาย และฝากความหวังกันแทบไม่ได้
นักเตะคนเดียวที่พอที่จะไว้ใจได้ ในทีมชุดปัจจุบันของเลสเตอร์ ก็คือเจมส์ แมดดิสัน ที่ถึงแม้จะฟอร์มตกเหมือนกับนักเตะรายอื่น แต่เมื่อมีโอกาสได้ง้างเท้าเปิดป้อน หรือพยายามยิงไกลเพื่อทำประตู ก็กลายเป็นลูกที่น่ากลัวได้เสมอ
การที่นักเตะฟอร์มตกกันยกทีมแบบนี้ หน้าที่หนักคงหนีไม่พ้น แบรนดอน ร็อดเจอร์ส ผู้จัดการทีมเลสเตอร์ ซิตี้ แต่ขณะที่ศักยภาพนักเตะไม่ดีเหมือนเดิม เขายังคงยึดติดกับการที่ยังเล่นฟุตบอลเกมรุกบุกแหลกอยู่แบบเดิมที่เคยทำมา
ซึ่งมันไม่ได้ประโยชน์ เพราะพวกเขาเล่นแบบเดิมตลอด 7 เกม ซึ่ง 6 เกมติดต่อกันแล้วที่พวกเขาแพ้ นั่นคือปัญหาเดิม ๆ ที่เกิดขึ้นจากการเล่นของพวกเขา การเล่นเกมบุกแต่ไม่มีคุณภาพ และแรงบันดาลใจ ทำให้ทีมไม่ได้ประตู และเมื่อผิดพลาดเกมรับที่อ่อนยวบ และเปิดพื้นที่ให้คู่แข่ง ก็พร้อมเสียประตูทุกเมื่อ
แน่นอนว่า มันเคยได้ผลดีในอดีต เพียงแต่ว่าตอนนี้นักเตะฟอร์มตกกันทั้งหมด ก็คงจะงัดทีมกลับมายากหากยังยึดติดกับวิธีการแบบเดิมๆ
พวกเขาเจอปัญหาเดิมเล่นงานซ้ำ ๆ ครองบอลเยอะเพื่อให้คู่แข่งสวนกลับ รวมถึงความหละหลวมในการป้องกันลูกตั้งเตะ เราเหมือนได้เห็นการฉายหนังซ้ำไปซ้ำมาตลอดทั้งฤดูกาลนี้ของเลสเตอร์ ซิตี้
อย่างในเกมล่าสุดกับสเปอร์ส พวกเขาบุกได้ดี ก่อนที่จะโดนเล่นงานด้วยลูกเตะมุมเสียไปก่อน 2 ประตูใสครึ่งแรก ก่อนที่ครึ่งหลังกลับมาโดนลูกโต้กลับจนจบเกมแพ้ 6-2
เพราะร็อดเจอร์สสั่งลูกทีมดันกองหลังสูงเพื่อบุกกดดันใส่สเปอร์ส ทั้งที่ก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าสเปอร์สอันตรายแค่ไหน หากพวกเขามีพื้นที่สวนกลับ ซึ่งกลายเป็น ซน ฮึง มิน ลงโทษพวกเขาอย่างเยือกเย็น
แน่นอนว่าการเปลี่ยนผู้จัดการทีมคือคำตอบของเรื่องราวนี้ โดยเฉพาะปัญหาที่งอกมาเยอะเหลือเกินในสนาม แม้ว่าร็อดเจอร์สจะเป็นโค้ชที่ดี แต่ตอนนี้เขาไม่เหมาะกับทีมแม้แต่น้อย
มีเพียงสิ่งเดียวในตอนนี้ที่ทำให้เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ยังเป็นผู้จัดการทีมของเลสเตอร์ ซิตี้ ก็คือหากปลดเขาออกจากตำแหน่ง ทางสโมสรต้องจ่ายเงินอย่างต่ำ 10 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 420 ล้านบาท เป็นค่าชดเชยซึ่งถือว่าแพงมาก ๆ
ด้วยเงินที่มากขนาดนี้ อาจทำให้การปลดร็อดเจอร์สไม่เกิดขึ้น เพราะเลสเตอร์ก็มีปัญหาทางการเงิน ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ ก็ถึงเวลาที่ผู้บริหารจะต้องตัดสินใจให้ดี หากอยากให้เลสเตอร์อยู่ในลีกสูงสุดต่อไป
