ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ถือเป็นหนึ่งในรายการที่เก่าแก่ และมีมนต์ขลังมากที่สุดในทวีปเอเชีย เนื่องจากการแข่งขันฟุตบอลรายการนี้มีอายุเกินกว่า 50 ปี หลังจากประเดิมฟาดแข้งกันครั้งแรกในปี ค.ศ. 1968
ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาก็มีหลากหลายชาติที่บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาโชว์เพลงแข้งในรายการคิงส์คัพ ที่ประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น ทีมชาติเดนมาร์ก, ทีมชาติโปแลนด์ ไม่เว้นแต่ทีมชาติบราซิล ที่เคยขนสตาร์ดังอย่าง ริวัลโด, โรนัลดินโญ และ โรแบร์โต คาลอส มาลงเล่นในคิงคัพส์ เมื่อปี 2000
อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีมานี้ ดูเหมือนว่ากระแสของฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ นั้นดูดร็อป ๆ ลงไป และไม่น่าสนใจเยี่ยงในอดีต แต่ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? ติดตามความเห็นของนักข่าวกีฬาที่คลุกคลีกับวงการฟุตบอลเอเชียมา 20 ปี ได้ที่นี่
มุมมองสื่อต่างชาติ
ไมเคิล เชิช นักข่าวกีฬาที่คลุกคลีกับวงการฟุตบอลเอเชียมายาวนานกว่า 20 ปี ที่เคยเดินทางมาสัมผัสบรรยากาศของฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ได้เคยแสดงความคิดเห็นผ่าน THE STANDARD เมื่อปี 2017 ว่าเหตุที่ฟุตบอลคิงคัพส์ไม่ยิ่งใหญ่เหมือนในอดีต และไม่ค่อยมีชาติชั้นนำเขาร่วมการแข่งขันอาจเป็นเพราะปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย
โดย ไมเคิล เชิช มองว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงระบบตารางการแข่งขันในแต่ละปีของฟีฟ่า ส่งผลให้บางทีมไม่สามารถเดินทางมาร่วมมาแข่งขันฟุตบอลคิงส์คัพได้ ซึ่งในบางครั้งการจะนำชาติชั้นนำของโลกมาแข่งขันจำเป็นต้องมีการจ่ายค่าตัว
ซึ่งเขาเผยว่าชาติใหญ่ ๆ อย่างบราซิลหรืออังกฤษ อาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 2 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาน 67 ล้านบาท ในการเชิญมาแข่งคิงส์คัพ ซึ่งเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเหล่านี้ ควรนำไปลงทุนในระบบพัฒนาเยาวชนเสียมากกว่า และน่าจะเกิดผลประโชน์สูงสุดต่อวงการฟุตบอลไทย
แต่ ไมเคิล เชิช ก็ยังมองว่าการแข่งขันฟุตบอลคิงส์คัพถือเป็นหนึ่งในรายการที่สำคัญที่สุดในประเทศไทย เนื่องจากเป็นรายการที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ที่สำคัญเป็นการเปิดโอกาสให้นักเตะหน้าใหม่ได้ลงแข่งขันในนามทีมชาติ และมีโอกาสในการเจอกับทีมที่มีฟีฟ่าแรงกิงค์ สูงกว่า
ลุ้นโชคที่นี่! ทายผลฟุตบอลประจำวันกับเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือที่สุด