ตอนแรกเกือบไม่ได้เล่น : เบื้องหลังวอลเลย์บันลือโลกของ มาร์โก ฟาน บาสเทน ในยูโร 1988

Francis Phumin

ตอนแรกเกือบไม่ได้เล่น : เบื้องหลังวอลเลย์บันลือโลกของ มาร์โก ฟาน บาสเทน ในยูโร 1988 image

แม้จะเต็มไปด้วยแข้งชื่อดังมากมาย และมีนักเตะระดับเวิลด์คลาสอยู่ภายในทีมทุกยุคทุกสมัย แต่อย่างไรก็ตาม “ยูโร 1988” ถือเป็นแชมป์เมเจอร์เพียงถ้วยเดียวของยอดทีมแห่งทวีปยุโรปอย่าง เนเธอร์แลนด์

ทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว พลพรรคอัศวินสีส้มที่มีแข้งอย่าง โรนัลด์ คูมัน, แฟรงค์ ไรจ์การ์ด และ รุด กุลลิต เป็นตัวชูโรง สามารถทำผลงานได้อย่างไร้เทียมทาน แต่พระเอกตัวจริงในทีมชุดนั้น คงต้องยกให้เป็น ‘มาร์โก ฟาน บาสเทน’ ผู้ซัดลูกยิงใบไม้ร่วงใส่ สหภาพโซเวียต ในรอบชิงชนะเลิศ

ประตูดังกล่าวของแข้งฉายาศูนย์หน้าพรายกระซิบ ถูกฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาจนถึงปัจจุบัน แต่แท้จริงแล้วประตูนั้นอาจไม่เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ เนื่องจาก มาร์โก ฟาน บาสเทน เกือบไม่ได้เล่นในศึกยูโร 1988 เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นเช่นไร? ติดตามได้ที่นี่

เบื้องหลังลูกวอลเลย์บันลือโลก

มาร์โก ฟาน บาสเทน ถือเป็นกองหน้าตัวท็อปของวงการฟุตบอลเนเธอร์แลนด์ หลังแจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัวกับ อาหยักซ์ อัมสเตอร์ดัม และด้วยผลงาน 152 ประตู จาก 172 นัดกับยอดทีมลีกดัตช์ ทำให้ เอซี มิลาน ยักษ์ใหญ่ของอิตาลีคว้าตัว ฟาน บาสเทน ไปร่วมทีมในฤดูกาล 1987-88

กับ ปีศาจแดง-ดำ ฟาน บาสเทน ประเดิมสนามราวกับฝันด้วยการทำ 1 ประตูใส่ ปิซ่า แต่อย่างไรก็ตาม ไม่นานหลังจากนั้นเขาต้องพบกับประสบการณ์อันเลวร้าย หลังได้รับบาดเจ็บบริเวณข้อเท้า และทำให้ ฟาน บาสเทน ต้องเข้ารับการผ่าตัดและพักฟื้นเป็นเวลานาน จบฤดูกาลดังกล่าว ฟาน บาสเทน ลงสนามให้ เอซี มิลาน 19 นัดรวมทุกรายการ ทำได้เพียง 8 ประตู

แม้เจ้าตัวจะมีอาการบาดเจ็บบริเวณข้อเท้าซึ่งเป็นดั่งอาวุธหลักสำหรับกองหน้าตัวเป้า แถมยังมีเกมให้ลงเล่นน้อยอีกต่างหาก แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยดีกรีของเขา ทำให้ ไรนุส มิเชลส์ กุนซือของเนเธอร์แลนด์ในเวลานั้น จำเป็นต้องหนีบ ฟาน บาสเทน ไปลุยยูโร 1988 แม้ว่าตัวนักเตะเองจะมีร่างกายที่ไม่เต็ม 100 ก็ตาม

โดยเกมเปิดสนามที่ เนเธอร์แลนด์ พบกับ สหภาพโซเวียต ไรนุส มิเชลส์ เลือกใช้ จอห์น บอสแมน ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า ในขณะที่ ฟาน บาสเทน ต้องรอคอยโอกาสที่ม้านั่งสำรอง

เกมกับ โซเวียต จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของอัศวินสีส้ม 0-1 ทำให้เกมถัดมาพวกเขาไม่มีทางเลือกมากนัก นอกจากการคว้าชัยเหนือ อังกฤษ ที่ก็ต้องการชัยชนะเช่นกัน หลังจากแพ้ ไอร์แลนด์ แบบเหนือความคาดหมาย ทำให้เกมนี้กุนซือใหญ่ของทีมตัดสินใจเข็น ฟาน บาสเทน ออกสตาร์ทเป็น 11 ตัวจริง

และเมื่อได้รับความไว้วางใจ ฟาน บาสเทน ที่แม้ร่างกายจะยังไม่สมบูรณ์ก็ตอบแทนด้วยการเหมาคนเดียว 3 ประตู ช่วยให้ เนเธอร์แลนด์ ชนะ อังกฤษ 3-1 ก่อนที่ในเกมสุดท้ายเขาจะได้ออกสตาร์ทอีกครั้ง และเอาชนะ ไอร์แลนด์ 1-0

Getty Images

การกลับมาของ ฟาน บาสเทน ถือเป็นการเติมเต็มให้ เนเธอร์แลนด์ นั้นสมบูรณ์ในทุกตำแหน่ง ซึ่งเกมรอบรองชนะเลิศกับเจ้าภาพอย่าง เยอรมัน ตะวันตก ฟาน บาสเทน ก็แสดงความเป็นเพชรฆาตออกมาให้เห็นอีกครั้ง ด้วยการล้มตัวยิงตามน้ำในนาทีที่ 88 ช่วยให้ เนเธอร์แลนด์ เอาชนะไปได้ 2-1 ในรูปเกมที่ดุเดือดเผ็ดมัน

ในรอบชิงชนะเลิศ เนเธอร์แลนด์ ต้องโคจรมาพบกับ สหภาพโซเวียต อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การพบกันครั้งนี้ไม่เหมือนกับนัดแรกที่พวกเขาปราชัย เนื่องจากเกมนี้ทีมดัตช์ มีศูนย์หน้าที่ชื่อว่า มาร์โก ฟาน บาสเทน ลงเล่นเป็นตัวจริง

เกมรอบชิงชนะเลิศเริ่มต้นมาได้เพียง 32 นาที ฟาน บาสเทน โหม่งชงให้ รุด กุลลิต โขกประตูขึ้นนำ ก่อนที่ในช่วงครึ่งหลัง ฟาน บาสเทน จะยิงประตูประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอล ที่จะถูกพูดถึงไปอีกนานหลายร้อยปี

นาทีที่ 54 อาร์โนลด์ มูห์เรน ครอสบอลจากริมเส้นด้านซ้ายเข้าไปในเขตโทษ ที่มี ฟาน บาสเทน รออยู่ ซึ่งในจังหวะนั้นมีกองหลัง 3 คนอยู่ข้างหน้าเขา ดังนั้นการจับบอลลงแล้วจ่ายให้เพื่อนร่วมทีมในตำแหน่งที่ดีกว่า คงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของเพลย์นี้

แต่อย่างไรก็ตาม ฟาน บาสเทน กลับเลือกทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดด้วยการวอลเลย์ตูมเดียวเข้าประตูไปอย่างสุดสวย กลายเป็นประตูปิดกล่องให้ เนเธอร์แลนด์ เอาชนะ สหภาพโซเวียต 2-0 พร้อมเถลิงแชมป์ยูโร 1988 มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่

“บอลมันอยู่ห่างเกินไปสำหรับเขา ดังนั้นผมคิดว่าเขาจะจับบอลลง และหลังจากนั้นคุณก็แค่พยายามทำอย่างอื่น ด้วยการจ่ายบอลให้เพื่อนร่วมทีม” อาร์โนลด์ มูห์เรน ผู้ครอสประตูใบไม้ร่วงของ ฟาน บาสเทน ให้สัมภาษณ์

“ผมไม่อยากจะเชื่อสายตาเลยว่าเขาจะวอลเลย์จากมุมนั้นเข้าประตูไป ไม่เชื่อคุณดูอากัปกิริยาของ ไรนุส มิเชลส์ ที่ข้างสนามก็ได้, คุณต้องให้เครดิต มาร์โก แบบเต็ม ๆ จากมุมที่เขายิงได้ มีเพียงผู้เล่นระดับโลกเท่านั้นที่สามารถทำประตูได้จากมุมนั้น”

“ผมคิดว่าผมมีส่วนร่วมในหนึ่งในประตูที่สวยงามและสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ลูกหนังดัตช์ คุณเองก็รู้ดีว่านี่คือแชมป์เดียวที่เราคว้ามาได้ ซึ่งเป็นวาระที่ยิ่งใหญ่มาก”

ไม่เพียงแค่การคว้าแชมป์เท่านั้น ทัวร์นาเมนต์ยูโร 1988 มาร์โก ฟาน บาสเทน ยังคว้าตำแหน่งดาวซัลโวมาครอบครอง หลังจากซัดไป 5 ประตู แถมในปีเดียวกันนั้นเขายังคว้ารางวัลบัลลองดอร์สมัยแรกมาครองได้อีกต่างหาก ก่อนที่สมัย 2 และ 3 จะตามมาในปี 1989 และ 1992

แต่ก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่อาการบาดเจ็บที่เขาประสบพบเจอตั้งแต่อายุยังน้อย จะกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้แข้งเจ้าของฉายาศูนย์หน้าพรายกระซิบ จำใจต้องแขวนสตั๊ดด้วยวัยเพียงแค่ 28 ปี ในปี 1995 หรือ 3 ปีให้หลังจากการคว้าบัลลงดอร์สมัยที่ 3 

รับเครดิตฟรี ยูโร ที่ M88 คลิก!

ลุ้นโชคที่นี่! ทายผลฟุตบอลประจำวันกับเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือที่สุด

ติดตามบทความและข่าวสารกีฬาอื่นๆของเรา

Facebook : https://www.facebook.com/TheSportingNewsTH
Instagram : https://www.instagram.com/thesportingnews_th
Tiktok : https://www.tiktok.com/@thesportingnewsthailand

Francis Phumin

Francis Phumin Photo

นักเขียน The Sporting News Thailand ผู้ที่หลงไหลในเสน่ห์ของฟุตบอล