ทุกวันนี้ “ซอฟต์เพาเวอร์” กลายเป็นสิ่งสำคัญในการผลักดันประเทศให้เดินหน้า เพราะโลกยุคปัจจุบันแต่ละพื้นที่มีการจับเอกลักษณ์เฉพาะในท้องถิ่นของตัวเองให้กลายเป็นธุรกิจ เป็นจุดขายของประเทศ ซึ่งสามารถสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศ และอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ข้อดีของการสร้าง “ซอฟต์เพาเวอร์” คือมันเป็นอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น อาหาร, เพลง, ศิลปะ, วัฒนธรรม รวมถึงสามารถนำสิ่งต่าง ๆ มาผสมผสานกันได้ ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ของแต่ละประเทศว่า จะสามารถดึงจุดเด่นของท้องถิ่นให้กลายเป็นสินค้าระดับสากลที่ได้รับการยอมรับจากคนทั่วโลกได้อย่างไร
ซึ่งหนึ่งในเอกลักษณ์ของประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับในเวทีสากล ก็คือ “ผ้าไทย” ที่ในวงการแฟชั่น ผ้าไทยถือเป็นหนึ่งในรูปแบบของเสื้อผ้าที่มีความสวยงามอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวหาที่ไหนไม่ได้
ผ้าไทยคือสิ่งที่สามารถบอกได้ว่าเป็น “ของดี” ของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้เห็นบทบาทของชุดผ้าไทยในเวทีระดับโลกอย่างที่ควรจะเป็นในระยะหลัง เพราะเราขาดแบรนด์ที่มีชื่อระดับโลกที่จะชูเอกลักษณ์ผ้าไทย ขึ้นไปเป็นแบรนด์เสื้อผ้าร่วมสมัยที่ทุกคนเข้าถึงได้
อย่างไรก็ดี หนึ่งในแบรนด์ที่เห็นช่องว่างตรงนี้ และตัดสินใจเข้ามาผลักดันผ้าไทยให้ไปสู่ระดับโลก คือ เลสเตอร์ ซิตี้ สโมสรฟุตบอลชื่อดังจากอังกฤษ ดีกรีอดีตแชมป์พรีเมียร์ลีก ที่เข้ามาจับมือเป็นพาร์ทเนอร์กับชุมชนท้องถิ่นในประเทศไทย เพื่อพาผ้าไทยสู่เวทีแฟชั่นระดับโลก
ภายใต้การนำของ คิง เพาเวอร์ กลุ่มทุนไทยเจ้าของสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ได้เห็นความสำคัญของศิลปะและวัฒนธรรมผ้าไทยที่มีศักยภาพในเวทีระดับโลก บวกกับชื่อเสียงของทีมฟุตบอลที่มีอยู่ในมือ จึงเป็นไอเดียที่นำมาของการร่วมมือข้ามซีกโลก กับการพาผ้าไทยจากโลกตะวันออกไปสร้างสรรค์ความสวยงามกับแฟชั่นในกีฬาฟุตบอลของฝั่งตะวันตก
โดยทางเลสเตอร์ ซิตี้ ได้จับมือกับศูนย์หัตถกรรมทอผ้าบ้านเขาเต่า ที่อำเภอหัวหิน จากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อสร้างคอลเลกชันเสื้อผ้าแอคเซสซอรี และสินค้าไลฟ์สไตล์แนวสตรีทแวร์ ของสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ ขึ้นมา ในปี 2023
ซึ่งสินค้าต่าง ๆ ในคอลเลคชั่นนี้ คือการทำงานร่วมกันของทั้งสองฝ่าย นั่นคือเลสเตอร์ และศูนย์หัตถกรรมทอผ้าบ้านเขาเต่า เพื่อร่วมกันออกแบบสินค้าต่าง ๆ ที่จะสามารถแสดงความร่วมสมัยที่ได้ฟีลลิ่งการแต่งตัวแบบอังกฤษ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องแสดงเสน่ห์ของผ้าไทย และเอกลักษณ์เสื้อผ้าแบบไทยให้ออกมาได้อย่างครบถ้วน
โดยผลลัพธ์ที่ออกมาต้องถือว่าน่าพอใจอย่างมาก เพราะในขณะที่แต่ละสินค้ายังแสดงเอกลักษณ์ของผ้าไทยออกมาได้อย่างชัดเจน แต่ขณะเดียวกันเราก็ได้เห็นภาพลักษณ์ใหม่ ๆ ของผ้าไทยที่ผสมผสานกับแฟชั่นของโลกตะวันตกได้อย่างลงตัว จนเรียกได้ว่าเป็นการแสดงให้เห็นอีกครั้งว่า ผ้าไทยสามารถเป็นส่วนหนึ่งของแฟชั่นในเวทีระดับสากลได้อย่างแน่นอน
แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น การร่วมมือระหว่างเลสเตอร์ กับ ศูนย์หัตถกรรมทอผ้าบ้านเขาเต่า คือการสร้างชื่อให้กับชุมชนบ้านเขาเต่า หมู่บ้านธรรมดา ๆ ที่เห็นความสำคัญของผ้าไทยในฐานะเอกลักษณ์ของชุมชนซึ่งอยู่คู่กับท้องถิ่นมาร่วม 60 ปี
ซึ่งตลอด 60 ปีที่ผ่านมา ชาวบ้านที่หมู่บ้านเขาเต่าตั้งใจที่จะยกระดับพัฒนาผลงานผ้าไทยของตัวเองอยู่ตลอด จนมีผ้าไทยอันเป็นเอกลักษณ์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ผ้าทอขิด และผ้าขาวม้า 9 เส้น
เพียงแต่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครเข้ามาช่วยผลักดันให้งานของหมู่บ้านเขาเต่าได้ไปไกลเกินกว่าในประเทศไทย แต่ตอนนี้ เลสเตอร์ ซิตี้ ได้เห็นคุณค่าของงานจากชุมชนนี้ และช่วยผลักดันให้สินค้าจากหมู่บ้านเล็ก ๆ ในประเทศไทย ได้ไปขายอยู่ที่อีกซีกโลกหนึ่งในที่สุด
นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายยังร่วมมือกันออกแบบ ลวดลายพิเศษ “สุนัขจิ้งจอกที่กำลังกระโดด” เพื่อสะท้อนเรื่องราวการข้ามผ่านยุคสมัยของหมู่บ้านเขาเต่า จากหมู่บ้านประมงสู่หมู่บ้านหัตถกรรม รวมถึงสะท้อนตัวตนของสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ได้เป็นอย่างดี
ซึ่งการสนับสนุนของเลสเตอร์ กับภูมิปัญญาพื้นบ้านของไทยจะไม่หยุดแค่นี้ เพราะนี่เป็นครั้งที่ 6 ที่ทีมฟุตบอลจากอังกฤษ เข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์กับท้องถิ่นไทยในการออกแบบแฟชั่นที่ส่งออกสู่สายตาในเวทีระดับสากล
ซึ่งใครที่สนใจคอลเลคชั่นนี้ ก็สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: leicestershop_th / Line Official: @leicestershop_th และตัวแทนจัดจำหน่ายสินค้าแบรนด์ LEICESTER CITY FOOTBALL CLUB อย่างเป็นทางการในประเทศไทย