เชื่อว่าในชีวิตทุก ๆ คนก็เคยที่จะทำสิ่งที่มันผิดพลาดหรือเลือกเดินเส้นทางผิดกันมาบ้าง แต่สิ่งที่สำคัญมากที่สุดนั่นก็คือคุณจะสามารถกลับมาได้หรือไม่ เช่นเดียวกันกับนักฟุตบอลอาชีพ
หากใครเป็นแฟนบอลของพรีเมียร์ลีกหรือเป็นแฟนบอลของ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ก็น่าจะเคยได้ยินชื่อของกองหน้าร่างสูงใหญ่อย่าง ไนล์ เรนเจอร์ มาบ้าง เพราะในช่วงที่เขายังเป็นดาวรุ่ง เขาถือว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่น่าจับตามองมากที่สุดคนหนึ่ง
แต่สุดท้าย เรื่องราวและเส้นทางชีวิตการค้าแข้งของเขานั้นไม่ค่อยสวยหรูนัก หลังจากเขาไปหลงผิดกับอะไรบางอย่างจนทำให้ชื่อของเขาค่อย ๆ หายไปจากวงการ
ล่าสุด ไนล์ เรนเจอร์ ได้ออกมาเล่าเรื่องราวของชีวิตตัวเองหลังจากผ่านช่วงมรสุมเลวร้ายมาได้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจ และน่าจะเป็นตัวอย่างในการใช้ชีวิตให้กับใครหลาย ๆ คนได้
ตามอ่านเรื่องราวของอดีตกองหน้าดาวรุ่งจาก เดอะ แม็กพาย เต็ม ๆ ได้ที่นี่
ดาวรุ่งพุ่งแรง
ไนล์ เรนเจอร์ เป็นเด็กที่โตมาจาก ลอนดอน ประเทศอังกฤษ แต่ในสมัยเยาวชน เขาได้เข้าไปร่วมฝึกซ้อมกับทีมเยาวชนของ เซาแธมป์ตัน ก่อนที่จะได้ย้ายมาเล่นให้กับทีมเยาวชนของ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ในปี 2008
โดยในเวลานั้น เขาเป็นส่วนสำคัญของ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ชุด U-19 ในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกชุดเยาวชนมาครองได้หลังจากอยู่กับทีมมาได้เพียงแค่ 1 ปี
และด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยม ก็ทำให้ เรนเจอร์ ถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษชุด U-19 ในเวลานั้น ซึ่งเขามีสถิติที่ดีมาก ๆ ด้วยการยิงไป 6 ประตูจากการลงเล่น 11 เกม
ทำให้ชื่อของ เรนเจอร์ ตกเป็นหมายของหลาย ๆ ทีมในลีก เพราะในเวลานั้น กองหน้าสไตล์สูงใหญ่แบบเขากำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในเกมลูกหนังของเมืองผู้ดี
ร่วมสนุกทายผลฟุตบอลประจำวัน ที่นี่
เช็คช่องทางที่ดีที่สุดในการลุ้นโชคได้ที่นี่
หลงผิด
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีฟอร์มการเล่นที่ดี และหลาย ๆ ทีมจับตามากแค่ไหน แต่ เรนเจอร์ ก็เผลอตัวเอานิสัยแย่ ๆ ออกมาใช้นอกสนาม
ช่วงเวลาที่เขาอยู่กับ เซาแธมป์ตัน เขาเคยใช้อาวุธไปปล้นของจากประชาชน จนถูกส่งตัวไปเข้าสถานพินิจฯ เพื่อปรับปรุงนิสัยอยู่ 11 สัปดาห์ ในเวลาเดียวกันนั้น เขายังมีปากเสียงกับเพื่อนร่วมทีมอยู่บ่อย ๆ
ในปี 2011 ช่วงที่เขาเล่นให้กับ นิวคาสเซิล เขาเคยถูกเอฟเอปรับเงิน 6,000 ปอนด์หลังไปดีใจหลังยิงประตูด้วยท่ายิงปืน แถมตอนนั้นเขายังโพสต์ข้อความที่ไปในทางเหยียดกลุ่มรักร่วมเพศด้วย
จากนั้น เขาก็มีข่าวฉาวออกมาให้เห็นตามหน้าสื่ออยู่บ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นการบุกไปทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ, ทำร้ายและข่มขืนผู้หญิง รวมไปถึงการเล่นการพนันอย่างหนักจนติดคุกติดตะรางมาแล้ว
ตลอดการค้าแขงของ เรนเจอร์ ก็ต้องพูดตรง ๆ ว่าไปไม่ได้ไหนไกลเลย เพราะนอกจาก เซาแธมป์ตัน และ นิวคาสเซิล แล้ว เขาได้แต่อยู่กับทีมเล็ก ๆ เท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็น เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์, บาร์นส์ลีย์, สวินดอน ทาวน์, แบล็คพูล และทีมจากดิวิชั่น 5 ของอังกฤษหรือทีมนอกลีก
และที่มันเป็นแบบนี้ ก็ไม่ต้องสงสัย มันไม่ใช่ว่าฝีเท้าของเขาไม่ดี แต่มันเป็นเรื่องพฤติกรรมนอกสนามของเจ้าตัวล้วน ๆ ที่ทำให้ทีมใหญ่ ๆ หั่นชื่อของเขาออกจากลิสต์วอนเดอร์คิดที่น่าจับตามอง
รู้ตัวเมื่อสาย
ปัจจุบัน เรนเจอร์ ในวัย 32 ปี ยังไม่ได้ประกาศแขวนสตั๊ดเสียทีเดียว แม้ว่าจะไม่มีต้นสังกัดอยู่มาตั้งแต่ช่วงปี 2022 แล้ว
เขาได้ให้สัมภาษณ์ว่าเรื่องราวชีวิตของเขานั้นน่าจะทำเป็นหนัง เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับคนรุ่นหลังต่อไปดูได้เลย เพราะเขาคิดว่าเขาผ่านมาหมดทุกอย่างแล้วจริง ๆ
ซึ่งจนถึงตอนนี้ เขาก็ยอมรับว่ายังรู้สึกผิดกับตัวเอง กับสิ่งที่ได้ทำไปในอดีต และยังพูดอีกว่า หากเขาไม่ได้ใช้ชีวิตแบบผิด ๆ เขาก็คงจะเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ยอดเยี่ยมอย่าง เออร์ลิง ฮาลันด์ ในตอนนี้แน่ ๆ แต่สุดท้ายกว่าเขาจะรู้ตัวเอง มันก็สายเกินกว่าที่แก้ไขอะไรได้แล้ว
“ชีวิตของผมนี่น่าทำเป็นหนังสักเรื่องหนึ่งเลยนะ เพราะว่ามันเป็นเรื่องจริงทั้งหมดเลย และมันก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ๆ ด้วย” อดีตดาวโรจน์ของ นิวคาสเซิล กล่าว
“วันหนึ่งมีนักเตะเดินเข้ามาหาผมแล้วถามผมว่า เกิดอะไรขึ้นกับนาย? นายเป็นอะไรหรือเปล่า? คุณเป็นคนที่มีพรสวรรค์สูง แล้วดูคุณสิ คุณทำอะไรของคุณอยู่เนี่ย?”
“คืนนั้นผมกลับมานอนเพื่อที่จะลืมเรื่องนี้ไป ผมหงุดหงิดมากเพราะว่าผมรู้ว่าผมทำอะไรได้บ้าง และที่มันหงุดหงิดมากกว่านั้นก็คือผมรู้ว่าผมมีโอกาสมากมายแค่ไหน”
“ผมไม่ได้นำคำแนะนำมาปรับใช้เลย ถ้าหากมันเป็นแบบนั้น อย่างน้อย ๆ ผมควรที่จะได้เล่นอยู่ใน แชมเปี้ยนชิพ ตอนนี้ จริง ๆ ชีวิตผมไม่ควรจะมีปัญหาเลยนะ แต่สุดท้าย ผมก็เลือกที่จะไม่ฟังสิ่งที่คนอื่น ๆ เขาพูดหรือให้คำแนะนำ”
“หากว่าผมทำตัวเองให้มันดีทุก ๆ ด้าน ผมนี่คือ เออร์ลิง ฮาลันด์ เลยนะ แต่ผมไม่ได้อยากจะรับฟังคำแนะนำอะไรทั้งนั้น เพราะผมคิดว่าผมเก่งและรู้ไปซะหมดทุกเรื่อง”
“ตอนนี้ ทุกคนสามารถเรียนรู้จากเรื่องราวของผมได้ ผมเคยเล่นมาหมดแล้วทุกลีก ผมเคยอยู่บนจุดสูงสุด ผมเคยอยู่ตรงนั้น ผมสามารถช่วยเด็ก ๆ จากสิ่งที่ผมไปเจอมาได้”
“ตอนนี้ มันยังไม่ใช่จุดจบสำหรับผมหรอก ผมรักฟุตบอล มันก็ยังมีโอกาสอื่น ๆ อยู่นะ แต่ในชีวิต มันก็มีอะไรที่มากกว่าฟุตบอลเหมือนกัน”
“ผมรู้ตัวเองว่าผมเล่นฟุตบอลเก่งมาก หลาย ๆ คนเล่นกันไปถึง 38 หรือว่า 39 ปี ผมอยากที่จะกลับไปเล่นมันอีกครั้ง ผมต้องออกไปโชว์ในสิ่งที่ผมทำได้ในตอนนี้ ก่อนที่ร่างกายมันจะไม่ไหวเอาซะก่อน”
ร่วมสนุกทายผลฟุตบอลประจำวัน ที่นี่
เช็คช่องทางที่ดีที่สุดในการลุ้นโชคได้ที่นี่
ติดตามบทความและข่าวสารกีฬาอื่นๆของเรา
Facebook : https://www.facebook.com/TheSportingNewsTH
Instagram : https://www.instagram.com/thesportingnews_th
Tiktok : https://www.tiktok.com/@thesportingnewsthailand