เลสเตอร์ ซิตี้ ออกสตาร์ท 7 นัดแรกได้อย่างน่าผิดหวัง โดยเฉพาะล่าสุดกับการขึ้นนำสเปอร์สไปก่อน 1-0 แต่จบเกมด้วยการแพ้ไปแบบขาดลอย 6-2 ทำให้ตอนนี้ทีมจิ้งจองสยามกองอยู่อันดับบ๊วยของตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก มีเพียงแค่ 6 แต้ม และกลายเป็นทีมที่ 10 ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก ที่ออกสตาร์ทด้วยการมีเกิน 1 แต้ม จาก 7 นัดแรก

มองในด้านบวกยังมี 4 ทีมที่รอดจากการตกชั้นมาได้ด้วยการออกตัว 7 นัดแล้วไม่มีคะแนน หรือ มีเพียง 1 แต้ม นั่นคือ เซาธ์แฮมป์ตัน 1998-1999 ที่จบอันดับ 17 , นิวคาสเซิล 1999-2000 จบอันดับ 11, ซันเดอร์แลนด์ 2013-2014 จบอันดับที่ 14 และ คริสตัน พาเลซ 2017-2018 จบอันดับ 11 ของตาราง 

อย่างไรก็ตาม ทีมนักบุญ คือทีมเดียวนะครับ ที่ไม่เปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมเลย โดยปล่อยให้ เดฟ โจนส์ ทำงานต่อจนพาทีมรอดตกชั้นมาได้แบบหวุดหวิด นั่นอาจจะเป็นข่าวสารแบบมีนัยยะสำหรับ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส แต่ถ้ามองภาพรวมของคำว่าทีม พวกเขามีความหวังอยู่ เพราะยังเหลืออีก 31 เกม ให้ลงแข่งขัน

มองตามสถิติโอกาสรอดตกชั้นจากการเริ่มต้นแบบที่พวาเขาเป็นอยู่ที่ 40% แต่ในเชิงปฏิบัติก็มีหลายประเด็นที่ต้องลงมือทันทีโดยไม่ต้องรอลุ้นความน่าจะเป็นในอนาคต

เกมรับที่ต้องปรับด่วน

พวกเขาคือทีมอันดับสุดท้ายที่ยิงได้ 10 ประตู ซึ่งมากกว่า แมนยู ทีมอันดับ 5 ด้วยซ้ำ แต่การเสีย 22 ประตูของพวกเขาบ่งบอกถึงอาการรั่วในแผงหลัง และนี่เป็นการโดนยิงพรุนในช่วง 7 เกมแรกมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1965-1966 ซึ่งเป็นสถิติของทีม เวสต์แฮม ยูไนเต็ด

แล้วถ้าเจาะลึกลงไปส่วนที่เป็นปัญหาอย่างมากคือลูกตั้งเตะ เพราะถ้าย้อนไปตั้งแต่เปิดฤดูกาล 2021-2022 พวกเขาโดนเจาะตาข่ายจากลูกนิ่ง 25 ประตู มากที่สุดในพรีเมียร์ลีก ถ้าเทียบกันแบบ 1 ฤดูกาล + ช่วงเปิดซีซั่นนี้

ความนิ่ง สมาธิ และการรักษาความได้เปรียบ

เลสเตอร์ กลายเป็นทีมที่ทิ้งแต้มมากที่สุดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ หากนับเฉพาะเกมที่มีโอกาสขึ้นนำทีมคู่แข่งไปก่อน ลูกทีมของ เบรนแดน รอดเจอร์ส ปล่อยเต็มหลุดมือไปแล้ว 11 คะแนน บ่งบอกถึงความนิ่ง และ สมาธิที่ไม่อยู่กับเกมได้จนจบ 90 นาที 

หรือแม้แต่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบตัวผู้เล่นเหมือนเกมกับเชลซี ซึ่งเหลือ 10 คน ตั้งแต่นาทีที่ 28 พวกเขาก็ไม่สามารถเก็บแต้มจากนัดนั้นได้

สาเหตุหนึ่งก็อาจเป็นเพราะช่วงฟอร์มไม่ดีทำให้ขาดความมั่นใจด้วย และ อีกส่วนก็อาจจะเพราะการที่นักเตะหลายคนมีข่าวพัวพันกับทีมอื่นๆในตลาดซื้อขายนักเตะ

เคมีในทีม

เชื่อว่านักเตะของเลสเตอร์หลายๆคนดูเล่นแบบไม่ค่อยมีความกระหายมากนัก เอาง่ายๆ คำสัมภาษณ์ของเจมส์ เมดิสัน ในเกมล่าสุดเขายังบอกว่าฟอร์มการเล่นในช่วงครึ่งแรกที่ทีมเสมอกับสเปอร์สอยู่ 2-2 ยังดูเป็นเลสเตอร์ที่ตัวเขาและหลายๆคนน่าจะคุ้นเคย ทั้งการวิ่งไล่อย่างคึกคักและสร้างสรรค์โอกาสทำประตูได้ดี ซึ่งสะท้อนว่าตัวนักคีย์แมนของทีมยังสัมผัสได้ ถึงความผิดแปลกในทีม

ขณะเดียวกันเป้าหมายที่อาจอยู่คนละด้านระหว่างผู้จัดการทีม กับ บอร์ดบริหาร ก็อาจทำให้เกิดความคับข้องใจเหมือนที่ ร็อดเจอร์ส เคยบ่นเกี่ยวกับการเสริมทัพ เพราะในฐานะโค้ชก็คงอยากพาทีมไปให้ไกลมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ในฐานะผู้บริหารทีมบางจังหวะก็ต้องวางเป้าหมายที่มองถึงภาพใหญ่มากกว่าและ ซึ่งมีเรื่องของกฎ Financial Fair Play ที่ดูแล้วก็มีผลกระทบในเชิงบริหารทีมไม่น้อย

การเดินหน้าในตลาดซื้อขายนักเตะ

เลสเตอร์ซิตี้ เป็นทีมที่ไม่เสริมทัพมากนักในตลาดซื้อขายนักเตะ การเสียเวสลี่ย์ โฟฟาน่า ไป และ ได้

เว้าท์ ฟาส จาก แร็งส์ มาแทน ในขณะที่การเสริมอื่นๆ อย่าง อเล็กซ์ สมิธตี้ ก็เป็นการเสริมแทนตำแหน่งที่เสียไปจากการที่ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ย้ายไปอยู่กับนีซ หนึ่งในเงื่อนไขสำคัญก็คือปัญหาเรื่อง Financial Fair Play ที่ทีมจะต้องบริหารการเงินอย่างระมัดระวังด้วย เพราะเอาจริงๆปีที่แล้วก็เสริมตัวนักเตะมาพอสมควร แถมยังโปรเจคสร้างสนามฝึกซ้อมที่ใช้เงินจำนวนมหาศาลด้วย 

อย่างไรก็ตามด้วยสถานการณ์และทิศทางของทีม ถ้าหากเริ่มมองเห็นปัญหาหรือจุดที่ควรเสริมได้อย่างชัดเจน พวกเขาอาจจะลงมือซื้อนักเตะเพื่อเติมในตลาดช่วงมกราคม 

เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ?

ร็อดเจอร์ส คือ 1 ใน 4 กุนซือที่สามารถพาทีมคว้าแชมป์ได้ โดยเป็นการคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ เมื่อ 2 ฤดูกาลที่แล้ว แต่ด้วยผลงานของทีมช่วงนี้เริ่มทำให้มีการตั้งถามเหมือนกันว่า เขายังเป็นคนที่ใช่สำหรับเลสเตอร์หรือไม่ และอย่างที่กล่าวไปตอนต้นว่า 3 จาก 4 ทีม ที่รอดตกชั้นได้ คือทีมที่มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้จัดการทีมเสียด้วย