เปิดความแค้นเนเธอร์แลนด์-อาร์เจนตินา : การคว้าแชมป์โลกฝั่งฟ้าขาวที่คาใจชาวสีส้ม

Nuttanon Chankwang

เปิดความแค้นเนเธอร์แลนด์-อาร์เจนตินา : การคว้าแชมป์โลกฝั่งฟ้าขาวที่คาใจชาวสีส้ม image

อาร์เจนติน่า และเนเธอร์แลนด์ ต่างเป็นยักษ์ใหญ่แห่งโลกฟุตบอล เพียงแต่เหตุผลเดียวที่ทำให้สถานะของทั้งสองทีมต่างกัน คือผลการแข่งขันจากเกมนัดชิงชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 1978 ที่ทัพฟ้าขาวในฐานะเจ้าภาพเอาชนะอัศวินสีส้มด้วยสกอร์ 3-1

หากการแข่งขันครั้งนั้นดำเนินไปตามปกติคงไม่มีปัญหาอะไร แต่ความจริงที่เกิดขึ้นในเวลานั้นกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม เมื่อรัฐบาลอาร์เจนติน่าทำทุกอย่าง เพื่อการันตีว่าชาติของพวกเขาจะเป็นแชมป์โลก ส่วนเนเธอร์แลนด์ต้องฝ่าฟันทุกอุปสรรคที่เข้ามา เพียงเพื่อไปคว้าตำแหน่งรองแชมป์อีกครั้ง

นี่จึงเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองชาติในปี 1978 กับแชมป์โลกสุดสกปรกของทีมดังจากอเมริกาใต้ และความพ่ายแพ้อีกครั้งของเนเธอร์แลนด์ ที่ทำให้พวกเขายังคงเป็นราชาไร้บัลลังก์ถึงทุกวันนี้

วิบากกรรมของอัศวินสีส้ม

ย้อนกลับไปยังสี่ปีก่อนการแข่งขันฟุตบอลโลก 1978 จะเริ่มต้น ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ถือเป็นทีมฟุตบอลที่น่าตื่นตาที่สุดในโลก 

เนื่องจากความงดงามของระบบโททัล ฟุตบอล แทคติกซึ่งหลายคนเชื่อว่าเป็นรากฐานของฟุตบอลในยุคปัจจุบัน และผลงานอันน่ามหัศจรรย์ของ โยฮัน ครัฟฟ์ นักเตะเทวดาที่คว้ารางวัลบัลลงดอร์ 3 สมัยในช่วงปี 1971-74

ทัพอัศวินสีส้มจึงถูกวางตัวเป็นเต็งหนึ่งของการแข่งขันฟุตบอลโลก 1974 ซึ่งพวกเขาทำผลงานได้ดีตามที่หลายคนคาดหวัง ผ่านการเก็บชัยชนะ 5 จาก 6 นัดก่อนรอบชิงชนะเลิศ แม้ท้ายที่สุด พวกเขาจะไม่สามารถเอาชนะชาติเจ้าภาพอย่าง เยอรมันตะวันตก 

ส่งผลให้ เนเธอร์แลนด์จบทัวร์นาเมนต์ด้วยตำแหน่งรองแชมป์อย่างน่าปวดใจ แต่ความยอดเยี่ยมของโททัล ฟุตบอล และโยฮัน ครัฟฟ์ ยังคงทำให้หลายคนคาดหวังว่า ทีมชาติเนเธอร์แลนด์จะแก้ไขความผิดพลาดของพวกเขาได้ในฟุตบอลโลก 1978

Johan Cruyff

โชคร้ายที่เส้นทางสู่การแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งต่อไปของเนเธอร์แลนด์ กลับเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมายที่เข้ามารุมเร้า เริ่มต้นด้วยคำยืนยันของ ไรนุส มิเชลล์ บรมกุนซือผู้สร้างแทคติกโททัล ฟุตบอล ที่ปฏิเสธจะกลับมาคุมทีมชาติเนเธอร์แลนด์อีกครั้ง 

เอิร์นส์ท ฮัพเพิล ผู้จัดการทีมออสเตรียต้องเข้ามาคุมทีมอย่างกระทันหันในปี 1977 แต่การจากไปอย่างถาวรของมิเชลล์ ยังไม่ส่งผลกระทบต่อทัพอัศวินสีส้มเท่ากับการประกาศเลิกเล่นทีมชาติของโยฮัน ครัฟฟ์ ทั้งที่ตัวเขาในเวลานั้นมีอายุเพียง 30 ปี 

โดยจอมทัพรายนี้ไม่ได้ประกาศเหตุผลของการตัดสินใจช็อคโลกเอาไว้ (ในเวลานั้น) แต่สิ่งหนึ่งที่แฟนบอลทั่วโลกทราบชัดแน่นอนคือ ครัฟฟ์จะไม่เดินทางสู่ประเทศอาร์เจนติน่า ในฐานะส่วนหนึ่งของขุนพลทีมชาติเนเธอร์แลนด์

เมื่อสันนิษฐานจากแนวคิดเสรีนิยมที่ฝังรากลึกในเนเธอร์แลนด์ บรรดาผู้สื่อข่าวจึงเชื่อกันว่าเหตุผลที่ทำให้ครัฟฟ์ตัดสินใจถอนตัวจากทีมชาติ เกิดจากเหตุรัฐประหารที่เกิดขึ้นในอาร์เจนติน่าเมื่อปี 1976 

หลัง ฆอร์เก้ ราฟาเอล บิเดลา ผู้บัญชาการทหารบกของประเทศ ตัดสินใจนำกองกำลังทหารติดอาวุธบุกเข้ายึดอำนาจจาก อิสซาเบล เปรอง ประธานาธิบดีหญิงที่เข้ารับตำแหน่งประมุขแห่งรัฐแทนสามี ฆวน เปรอง เมื่อปี 1974

การรัฐประหารครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามสกปรก หรือ Dirty War เมื่อรัฐบาลเผด็จการทหารของบิเดลา เดินหน้าปราบปรามเหล่าผู้เห็นต่าง และขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลอย่างเหี้ยมโหด มีการคาดคะแนภายหลังว่าประชากรเสียชีวิตราว 30,000 ราย 

เนื่องจากถูกปราบปรามโดยรัฐบาลอาร์เจนติน่า แต่ความรุนแรงที่เกิดขึ้นประเทศแห่งนี้ถูกเพิกเฉยจากวงการเมืองในเวทีโลก เนื่องจากกองทัพอาร์เจนติน่าได้การสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส

ความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นแบบไม่ลดละ ย่อมส่งผลให้นักฟุตบอลหลายคนกลัวว่าอยู่ดี ๆ พวกเขาจะหายตัวไปโดยไม่มีใครรับรู้ในอาร์เจนติน่า การถอนตัวของโยฮัน ครัฟฟ์ ในเวลานั้นจึงเป็นเรื่องเข้าใจได้ 

Johan Cruyff - Barcelona

เพราะย้อนกลับไปยังปี 1973 ที่เขาซ็นสัญญากับบาร์เซโลน่า นักเตะเทวดารายนี้ยังเคยบอกว่าเขาดีใจที่ไม่ได้เซ็นสัญญากับเรอัล มาดริด เนื่องจากทัพราชันชุดขาวเคยมีความเกี่ยวข้องกับฟรานซิสโก ฟรังโก้ ผู้นำเผด็จการของสเปน

ทีมชาติเนเธอร์แลนด์จึงต้องเดินทางสู่ฟุตบอลโลก 1978 โดยปราศจากสุดยอดผู้จัดการทีมคนเดิม และนักเตะหมายเลขหนึ่งของโลก ซึ่งเหตุผลแท้จริงที่ทัพอัศวินสีส้มไม่สามารถพาครัฟฟ์ไปลุยฟุตบอลโลกหนนี้ จะถูกเปิดเผยในอีก 30 ปีถัดมา 

เมื่อครัฟฟ์ตัดสินใจบอกเล่าอำนาจเผด็จการจากอาร์เจนติน่า ที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อการันตีว่า ทัพฟ้าขาวจะต้องคว้าแชมป์โลกบนแผ่นดินของตัวเอง

เส้นทางสู่นัดชิงชนะเลิศที่แตกต่าง

โยฮัน ครัฟฟ์ เปิดเผยเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงกับชีวิตของเขาในปี 1977 ถึงเหตุการณ์ที่เจ้าตัวถูกผู้ประสงค์ร้ายบุกเข้าโจมตีถึงบ้านในเมืองบาร์เซโลน่า เพื่อลักพาตัวยอดนักเตะรายนี้ 

ครัฟฟ์เล่าให้ฟังสถานการณ์ในวันนั้นตรึงเครียดเป็นอย่างมาก โดยตัวเขาถูกปืนไรเฟิลจ่อเข้าที่หัว ขณะที่ภรรยาและลูก ๆ ของเขาถูกมัดติดกัน นั่นจึงทำให้หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น บ้านของครัฟฟ์ต้องมีตำรวจเฝ้าระวังภัยนานถึง 4 เดือน 

แม้แต่ลูกของเขาเวลาไปโรงเรียน ยังต้องมีเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามอยู่ตลอดเวลา ส่วนภรรยาของครัฟฟ์รู้สึกหัวเสียอย่างมากกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากเธอไม่รู้สึกถึงความปลอดภัยในชีวิตเลยแม้สักนาที ด้วยเหตุนี้ ครัฟฟ์จึงไม่มีทางจะโบกมือลาครอบครัวเพื่อไปเล่นฟุตบอลโลกที่ประเทศอาร์เจนติน่าได้เลย  

จนถึงวันนี้ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลังเหตุลักพาตัว และข่มขู่ครอบครัวของครัฟฟ์ แต่จากการที่นักเตะรายนี้เลือกปฏิเสธเสียงแข็งเกี่ยวการเดินทางไปเล่นฟุตบอลโลกที่อาร์เจนติน่า หลายฝ่ายจึงเชื่อว่ารัฐบาลทหารของนายพลบิเดล่า น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่มากก็น้อย

Johan Cruyff Netherlands

แต่ไม่ว่ารัฐบาลอาร์เจนติน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักพาตัวครัฟฟ์มากแค่ไหน ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจนจากการถอนตัวของนักเตะเทวดา เมื่อผลงานของพวกเขาในการแข่งขันรอบแรกไม่ได้แสดงถึงความแข็งแกร่งจากสี่ปีก่อนแม้แต่น้อย 

โดยทีมชาติเนเธอร์แลนด์จบการแข่งขันรอบแรกด้วยผลงานชนะ 1 เสมอ 1 แพ้ 1 รวมแล้วเก็บได้เพียง 4 คะแนน ก่อนผ่านเข้าสู่รอบต่อไปด้วยลูกได้-เสียที่ดีกว่าสกอตแลนด์

ถึงตรงนี้คงไม่มีใครคาดคิดว่าเนเธอร์แลนด์จะผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้อีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาถูกจับไปอยู่กับอิตาลี และเยอรมันตะวันตก ในรอบแบ่งกลุ่มรอบสอง

โชคดีที่ทัพอัศวินสีส้มเรียกฟอร์มเก่งได้ทันเวลา เมื่อพวกเขาเริ่มต้นด้วยการถล่มออสเตรียยับเยิน 5-1 ตามด้วยการยันเสมอแชมป์เก่า 2-2 ก่อนเอาชนะอิตาลี 2-1 ส่งผลให้พวกเขาผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศโดยไม่แพ้ใครเลยในรอบนี้

ผลงานที่โดดเด่นของเนเธอร์แลนด์ส่งผลให้พวกเขาถูกยกเป็นเต็งแชมป์ของรายการในทันที แต่ท่ามกลางการกลับมาสู่ความยิ่งใหญ่ของขุนพลโททัล ฟุตบอล ยังมีอีกข่าวหนึ่งในฟุตบอลโลก 1978 ที่ถูกพูดถึงไม่แพ้กัน 

คือชัยชนะของอาร์เจนติน่าเหนือทีมชาติเปรู ด้วยสกอร์ถล่มทลาย 6-0 ในเกมนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มรอบสอง ส่งผลให้ทัพฟ้าขาวผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ เนื่องจากลูกได้-เสียที่ดีกว่าทีมชาติบราซิลแบบขนาดลอย

Argentina 1978

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าชัยชนะของอาร์เจนติน่าเหนือเปรูมีลับลมคมในแน่นอน เพราะเกมดังกล่าวแข่งขันหลังบราซิลลงเล่นนัดสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว 

นั่นหมายความว่า อาร์เจนติน่าจำเป็นต้องชนะเปรู 4 ประตูขึ้นไป ซึ่งไม่ใช่งานที่ง่ายเลย แต่ในเมื่อรูปเกมที่ออกมากลายเป็นทัพฟ้าขาวยิงรัว 6 ประตูแบบปอกกล้วยเข้าปาก

หลายฝ่ายจึงเริ่มมองเห็นตรงกันว่า อาร์เจนติน่าได้ทำทุกอย่างเพื่อปูพรมแดงให้นักเตะของเขาเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ยิ่งเมื่อบวกกับรายงานว่า นายพลวิเดล่า ร่วมกับ เฮนรี คิสซินเจอร์ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เดินทางสู่ห้องแต่งตัวของนักเตะเปรู ก่อนการแข่งขันจะเริ่มต้น 

นั่นจึงทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่า อาร์เจนติน่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้พวกเขาคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกบนแผ่นดินบ้านเกิดของตัวเอง

“ทุกคนบอกเราว่าอาร์เจนตินาจะเป็นแชมป์โลก ไม่ว่าจะด้วยฝีเท้าหรือการโกง” นี่คือประโยคจากปากของเรเน่ ฟาน เดอ เคอคอห์ฟ หนึ่งในนักเตะทีมชาติเนเธอร์แลนด์ชุดนั้น แปลว่าเหล่าขุนพลอัศวินสีส้มรู้ดีว่าพวกเขาจะเจอกับอะไรในนัดชิงชนะเลิศ ซึ่งสิ่งที่รอคอยพวกเขาในสนามเอสตาดิโอ โมนูเมนตัล ไม่ได้เกินสิ่งที่ผู้คนพูดคุยกับพวกเขาเลยสักนิด

แชมป์โลกที่ไม่ขาวสะอาดของทัพฟ้าขาว

เมื่อเกมนัดชิงชนะเลิศเดินทางมาถึง ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ต้องพบเจอกับความยากลำบากตั้งแต่ก่อนการแข่งขัน เมื่อรถบัสของพวกเขาเลี้ยวอ้อมออกนอกเส้นทาง 

ส่งผลให้พวกเขาต้องนั่งรถติดอย่างเบื่อหน่ายบนถนนท่ามกลางแฟนบอลอาร์เจนติน่าที่พลุกพล่าน ยิ่งกว่านั้นเมื่อเดินทางถึงสนามแข่งขัน นักเตะเนเธอร์แลนด์กลับถูกปล่อยให้ยืนเก้อราว 5 นาที เพราะไม่สามารถเข้าห้องแต่ตัวได้

และถึงจะเข้าห้องแต่งตัวได้ในเวลาต่อมา ปัญหาของทีมชาติเนเธอร์แลนด์ยังไม่จบสิ้น เมื่อ ดาเนี่ยล พาสซาเรลล่า กัปตันทีมชาติอาร์เจนติน่า ประท้วงผู้ตัดสินเพื่อไม่อนุญาตให้ ฟาน เดอ เคอคอห์ฟ ลงสนามขณะใส่เฝือกเนื่องจากมิดฟิลด์คนสำคัญของเนเธอร์แลนด์มือหัก 

แน่นอนว่านักเตะเนเธอร์แลนด์ไม่พอใจมาก และยืนยันว่าจะไม่ลงสนามจนกว่าปัญหานี้จะถูกแก้ไข ท้ายที่สุด ผู้ตัดสินจึงไม่มีทางเลือกนอกจากให้ฟาน เดอ เคอคอห์ฟ ใส่เฝือกลงสนามต่อไป

กว่าเสียงนกหวีดจะเริ่มต้นขึ้น การแข่งขันก็ล่วงเลยกำหนดการณ์เดิมไปมาก อย่างไรก็ดี ความร้อนแรงของแฟนบอลอาร์เจนติน่าที่อัดแน่นกันในสนามเอสตาดิโอ โมนูเมนตัล มากกว่า 70,000 คน ก็มากเพียงพอที่จะทำให้เนเธอร์แลนด์ที่ยังตั้งตัวไม่ติด 

จนพวกเขาถูกเจ้าภาพยิงขึ้นนำไปก่อนในนาที 38 จากการทำประตูของมาริโอ เคมเปส จบครึ่งแรก อาร์เจนติน่าเป็นฝ่ายขึ้นนำ 3-1

Mario Kempes Argentina Holland FIFA World Cup 06251978

เมื่อเริ่มเกมในครึ่งหลัง อาร์เจนติน่ายังคงเป็นฝ่ายกุมความได้เปรียบ จนกระทั่งนาที 82 ของการแข่งขัน ดิก นานนินก้า กองหน้าตัวสำรองของเนเธอร์แลนด์ยิงประตูให้ทัพอัศวินสีส้มไล่ตีเสมอเป็น 1-1 

นับจากวินาทีนั้นเป็นต้นมา รูปเกมตกเป็นของเนเธอร์แลนด์ เนื่องจากเจ้าถิ่นไม่สามารถคุมเกมหลังเสียประตูได้ และผู้มาเยือนจากยุโรปเกือบได้ประตูชัยในนาทีสุดท้ายของการแข่งขัน หลัง ร็อบ เรนเซนบริงก์ ยิงประตูไปชนเสาเต็ม ๆ

จังหวะการทำประตูของเรนเซนบริงก์ ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ลักษณะ “ถ้าหาก ?” ที่โด่งดังมากที่สุดในโลกฟุตบอล เพราะหลายคนต่างตั้งข้อสังเกตว่า โลกฟุตบอลจะเปลี่ยนไปแค่ไหนหากเนเธอร์แลนด์คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 1978 

แต่อย่างที่เรารู้กันดีว่าเรื่องราวในทำนองนั้นไม่เกิดขึ้นบนโลกแห่งความจริง เพราะเมื่อเข้าสู่ช่วงต่อเวลาพิเศษ นักเตะเนเธอร์แลนด์ก็หมดเรี่ยวแรงจะต้านทานความคึกคักของเจ้าถิ่น 

อาร์เจนติน่าจึงโผล่มายิงสองประตูรวดจากฝีเท้าของเคมเปส และดาเนี่ยล แบร์โตนี่ ก่อนทัพฟ้าขาวจะเอาชนะเนเธอร์แลนด์ด้วยสกอร์ 3-1 ส่งอาร์เจนติน่าคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยแรกได้สำเร็จ

Mario_Kempes_FTR_03152014

หลังการแข่งขันจบลง ไม่ต้องสงสัยว่าการคว้าแชมป์โลกของอาร์เจนติน่าจะถูกโจมตีมากแค่ไหนโดยสื่อยุโรป เพราะถึงแม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ารัฐบาลอาร์เจนติน่าล็อคผลการแข่งขันอย่างไร ? 

แต่เนื่องจากความชั่วร้ายของรัฐบาลเผด็จการได้ถูกเปิดเผยสู่สายตาผู้คนหลังจบศึกฟุตบอลโลก (เนื่องจากฝีมือของสื่อเนเธอร์แลนด์) หลายคนจึงพอมองออกว่า เบื้องหลังการแข่งขันฟุตบอลโลก 1978 ไม่ขาวสะอาดแน่นอน

และอย่างที่โยฮัน ครัฟฟ์ เปิดเผยความจริงในอีกหลายปีถัดมา ... เกนาโร่ เรเดสม่า อดีตนักการเมืองชาวเปรู ได้ออกมาเปิดเผยในปี 2012 ว่า ทีมชาติของเขาตัดสินใจยอมแพ้ให้กับอาร์เจนติน่าในเกมอื้อฉาวที่ทัพฟ้าขาวถล่มยับ 6-0 

นอกจากนี้ ยังมีรายงานออกมาอีกว่า นักเตะอาร์เจนติน่าโด๊ปยาระหว่างการแข่งขัน เพราะเมื่อตรวจทัพปัสสาวะของนักเตะฟ้าขาว พวกเขาทุกคนที่เป็นผู้ชายกลับมีผลตรวจปัสสาวะไม่ต่างจากหญิงสาวที่กำลังตั้งครรภ์

โชคร้ายเพียงอย่างเดียวของทีมชาติเนเธอร์แลนด์คือ พวกเขาทำผลงานเป็นรองทีมชาติอาร์เจนติน่าจริง ๆ ในรอบชิงชนะเลิศ 

ด้วยเหตุนี้ ทัพอัศวินสีส้มจึงไม่มีข้ออ้างใดมาปฏิเสธว่าพวกเขาไม่ควรพ่ายแพ้ทัพฟ้าขาวในรอบชิงชนะเลิศ เพราะถ้าหากวัดแค่เกมนัดชิงชนะเลิศ อาร์เจนติน่าคือฝ่ายที่ควรเป็นแชมป์อย่างแท้จริง

นี่คือเรื่องราวความบาดหมางที่เกิดขึ้นระหว่างอาร์เจนติน่า และเนธอร์แลนด์ จากการแข่งขันฟุตบอลโลก 1978 ซึ่งเราเชื่อเหลือเกินว่าทั้งสองฝ่ายต่างรอวันที่จะได้ประกาศความยิ่งใหญ่เหนือฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง 

การพบกันระหว่างทั้งสองทีมในฟุตบอลโลก 2022 จึงจะเป็นเกมคู่ใหญ่ที่แฟนทั่วโลกพลาดไม่ได้อย่างแน่นอน

NBA LEAGUE PASS สมัครเพื่อชมการแข่งขันเอ็นบีเอสดทุกนัดคลิก

Nuttanon Chankwang

Nuttanon Chankwang  Photo

บรรณาธิการบริหาร The Sporting News Thailand