ดาร์บี้ลอนดอนเหนือ : ทำไม อาร์เซนอล-สเปอร์ส เป็นคู่ปรับที่เดือดสุดในอังกฤษ?

Nuttanon Chankwang

ดาร์บี้ลอนดอนเหนือ : ทำไม อาร์เซนอล-สเปอร์ส เป็นคู่ปรับที่เดือดสุดในอังกฤษ?  image

เมื่อพูดถึงดาร์บี้แมตช์ที่ดุเดือดมากที่สุดสำหรับคนไทย ศึกแดงเดือดย่อมเป็นคำตอบโดยทั่วไปของแฟนบอลบ้านเรา แต่ถ้าไปถามแฟนบอลจากประเทศอังกฤษ แน่นอนว่าคำตอบของพวกเขาย่อมแตกต่างออกไป

เพราะ “ดาร์บี้ลอนดอนเหนือ” คือความดุเดือดที่แท้จริงสำหรับวงการฟุตบอลอังกฤษ การต่อสู้อันไม่มีใครยอมใครที่ยาวนานกว่าหนึ่งศตวรรษ เรื่องราวมากมายถูกบันทึกในช่วงเวลาเหล่านั้น ทั้ง การแย่งชิง, การเย้ยหยัน และการเหยียบย่ำ ระหว่างอาร์เซนอล และท็อตแนม ฮอทสเปอร์ 

Bukayo Saka Son Heung-min Arsenal Tottenham 092223
(Getty Images)

บาดหมางยาวนานกว่า 100 ปี

เช่นเดียวกับฟุตบอลดาร์บี้ชื่อดังทั่วโลก ความบาดหมางระหว่าง อาร์เซนอล กับ ท็อตแนม ฮอทสเปอร์ เริ่มต้นขึ้นจากเหตุผลง่าย ๆ ในพื้นที่ลอนดอนเหนือ นั่นคือ การแย่งชิงตำแหน่งทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดของท้องถิ่น เนื่องจากรังเหย้าเก่าแก่ของทั้งสองสโมสร ได้แก่ ไฮบิวรี่ และไวท์ฮาร์ทเลน ต่างตั้งอยู่ห่างจากกันเพียง 4 กิโลเมตร

อย่างไรก็ตาม ความดุเดือดของอาร์เซนอลและสเปอร์สในฐานะคู่ปรับ ไม่ได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เกมแรกที่ทั้งสองทีมเจอกันในปี 1909 เพราะย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น อาร์เซนอลยังไม่ใช่ทีมจากย่านลอนดอนเหนือแต่อย่างใด 

เพราะรกรากที่แท้จริงของทัพปืนใหญ่คือย่านลอนดอนใต้ เมื่อพวกเขาเริ่มต้นสร้างทีมฟุตบอลในเขตวูลวิช ก่อนที่ในปี 1913 อาร์เซนอลจะย้ายถิ่นฐานขึ้นมาสู่ลอนดอนเหนือ อันเป็นที่ตั้งแต่เดิมของสเปอร์ส

กว่าทั้งสองทีมจะพบเจอกันในฐานะคู่ปรับแห่งลอนดอนเหนือ พวกเขาต้องรอถึงปี 1921 เนื่องจากฟุตบอลลีกอังกฤษเพิ่งกลับมาลงทำการแข่งขันในปี 1919 หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้สิ้นสุดลง ซึ่งการพบกันครั้งนี้ของทั้งสองทีม มีเรื่องราวอื้อฉาวให้ผู้คนติดตาม ตั้งแต่ยังไม่ทันลงแข่งขัน

เพราะย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นหนึ่งฤดูกาล ท็อตแนม ฮอทสเปอร์ ได้เสียสิทธิ์แข่งขันบนเวทีดิวิชั่นหนึ่งแก่อาร์เซนอล เนื่องจากสมาคมฟุตบอลอังกฤษมีความต้องการจะเพิ่มทีมในลีกสูงสุดอีก 2 ทีม ทางลีกจึงตัดสินใจให้บรรดาสมาชิกเลือกโหวตสโมสรที่เหมาะสมจะได้เลื่อนชั้นที่สุดกันเอง

สเปอร์สซึ่งจบเป็นอันดับสุดท้ายของดิวิชั่นหนึ่งในฤดูกาล 1914–15 จึงต้องมาขับเคี่ยวแย่งชิงคะแนนโหวตกับอีกหลายทีมในศึกดิวิชั่นสอง 

โดยท้ายที่สุด ทัพไก่เดือยทองไม่สามารถต้านทานพลังเงินของอาร์เซนอล ที่ขณะนั้นอยู่ภายใต้การดูแลของ เฮนรี่ นอร์ริส นักธุรกิจ และนักการเมืองชื่อดังแห่งพรรคอนุรักษ์นิยม ส่งผลให้ทัพปืนใหญ่คว้าตั๋วเลื่อนชั้นไปครอบครอง แม้พวกเขาจะจบเพียงอันดับห้าของศึกดิวิชั่นสอง ฤดูกาลก่อนหน้าก็ตาม

การถูกคู่ปรับร่วมท้องถิ่นเขี่ยตกชั้นเพียงเพราะพวกเขามีเงินน้อยกว่า ถือเป็นบาดแผลแรกที่สเปอร์สถูกอาร์เซนอลเล่นงาน พวกเขาจึงจ้องจะมาเอาคืนอย่างเต็มที่ เมื่อทัพไก่เดือยทองสามารถเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดได้สำเร็จในฤดูกาล 1919-1920 

สเปอร์สจึงเอาคืนอาร์เซนอลอย่างสาสม ด้วยการเอาชนะในเกมแรกที่ทั้งคู่เจอกันด้วยสกอร์ 2-1, จบฤดูกาลด้วยอันดับเหนือกว่า รวมถึงยังสามารถคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ในฤดูกาลดังกล่าวมาครองได้อีกด้วย

แต่ความสำเร็จทั้งหมดที่กล่าวไปยังไม่ใช่ความเจ็บปวดสูงสุดที่แฟนอาร์เซนอลถูกย่ำยีโดยแฟนสเปอร์ เพราะการดูถูกสโมสรสีแดงแห่งลอนดอนเหนือในชื่อล้อเลียน อย่าง  “วูลวิช วันเดอเรอร์ส” ต่างหาก ที่ทำให้ความดุเดือดของดาร์บี้คู่นี้ทวีคูณเป็นเท่าทวี

เพราะย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น สเปอร์สได้ออกตัวแรงว่าวพวกเขาคือทีมแห่งลอนดอนเหนือที่แท้จริง ส่วนอาร์เซนอลเป็นแค่ทีมพลัดถิ่นจากลอนดอนใต้เท่านั้น

เมื่อเล่นแรงกันขนาดนี้ก็ไม่มีอะไรต้องเกรงใจ เกมดาร์บี้ลอนดอนเหนือจึงกลายเป็นคู่ปรับที่น่าดุเดือดที่สุดในวงการฟุตบอลนับแต่นั้น โดยพวกเขาเคยได้รับคำเตือนว่าจะให้ลงเล่นโดยไม่มีผู้ชม หากแฟนบอลทั้งสองฝ่ายยังไม่เลิกตีกัน นับตั้งแต่ปี 1922 เลยทีเดียว

ตำแหน่งหมายเลขหนึ่งที่พลิกกลับด้าน

อาร์เซนอล กับ ท็อตแนม ฮอทสเปอร์ ยังคงแย่งชิงความยิ่งใหญ่ในวงการฟุตบอลอังกฤษนับแต่นั้น แน่นอนว่าทั้งสองทีมคู่คี่สูสีกันมาก แต่ถ้าหากถามว่าใครคือสโมสรฟุตบอลถือเหนือกว่าในช่วงระยะเวลาแรก ? สเปอร์สคือคำตอบสุดท้ายที่นักประวัติศาสตร์ฟุตบอลเลือก

เพราะตลอดช่วงทศวรรษ 1950s จนถึงช่วงกลาง 1980s ทัพไก่เดือยทองยึดครองความสำเร็จที่มากกว่าอย่างชัดเจน ไล่ตั้งแต่ แชมป์ดิวิชั่นหนึ่ง 2 สมัยในฤดูกาล 1950–51 และ 1960–61 รวมถึงแชมป์เอฟเอ คัพ 5 สมัย ซึ่งเมื่อมองไปยังฝั่งของอาร์เซนอล ทัพปืนใหญ่มีความสำเร็จในช่วงเวลาราว 35 ปี เป็นแชมป์ดิวิชั่นหนึ่ง 2 สมัยในฤดูกาล 1952–53 กับ 1970–71 และแชมป์เอฟเอ คัพ 2 สมัย

เมื่อบวกกับสไตล์ฟุตบอลของสเปอร์สในช่วงเวลานั้นที่มักยึดติดการเล่นฟุตบอลเกมรุกบุกเร้าใจ นั่นยิ่งทำให้ใครหลายคนมองว่าทัพไก่เดือยทองคือทีมหมายเลขหนึ่งของย่านลอนดอนเหนือ เพราะถึงแม้อาร์เซนอลจะไม่ได้คว้าแชมป์น้อยกว่าสเปอร์สมากนัก แต่ด้วยรูปแบบการเล่นที่ไม่น่าตื่นตาตื่นใจเท่า มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากอาร์เซนอลจะถูกมองเป็นทีมที่ต่ำกว่าในช่วงเวลานี้

น่าเสียดายสำหรับแฟนสเปอร์สที่ความเหนือกว่าเกือบ 40 ปีที่ผ่านมา กลับเลือนหายไปในพริบตาช่วงปลายทศวรรษ 1980s อันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่วงการฟุตบอลอังกฤษเริ่มโด่งดังไปทั่วโลก ... เมื่ออาร์เซนอลเริ่มต้นคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้อย่างต่อเนื่องในฤดูกาล 1988–89 และ 1990–91

ก่อนโชคชะตาของทั้งสองทีมจะพลิกผันไปตลอดกาล หลัง อาร์แซน เวนเกอร์ ตำนานผู้จัดการทีมชาวฝรั่งเศส ตัดสินใจเดินทางมาคุมทีมดังแห่งไฮบิวรี่ในปี 1996 เพื่อเนรมิตรความสำเร็จ 17 รายการแก่ทัพปืนใหญ่ ได้แก่ แชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัย, แชมป์เอฟเอ คัพ 7 สมัย และแชมป์คอมมิวนิตี้ ชิลด์ 7 สมัย  

Arsene Wenger and Patrick Vieira of Arsenal with Premier League trophy
Getty Images

ยุคสมัยของอาร์แซน เวนเกอร์ คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล แต่ในทางกลับกัน ช่วงเวลาปี 1996 ถึง 2018 แทบจะเป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุดเท่าที่แฟนสเปอร์สเคยรู้จัก เพราะนอกจากแชมป์ลีกคัพ 2 สมัยในปี 1998–99 และ 2007–08 ทัพไก่เดือยทองก็ไม่เคยคว้าความสำเร็จอะไรอื่นอีกเลย ภายใต้ช่วงเวลาเดียวกันที่เวนเกอร์คุมทีมอาร์เซนอล

การที่แฟนสเปอร์ต้องนั่งทนเห็นทีมตัวเองสู้สุดใจเพื่อหนีตกชั้น ก่อนจบอันดับกลางตารางอยู่นานกว่าสิบปี ถือเป็นเรื่องย่ำแย่มากพออยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้แฟนบอลสเปอร์ต้องเจ็บปวดมากกว่า คือความจริงที่พวกเขาสูญเสียสไตล์ฟุตบอลเกมรุกบุกเร้าใจให้แก่อาร์เซนอลในช่วงเวลานี้เช่นเดียวกัน

เมื่อเวนเกอร์นำปรัชญาฟุตบอลยุคใหม่เข้ามาใช้ในพรีเมียร์ลีกเป็นทีมแรก แถมด้วยการดึงสุดยอดนักเตะฝีเท้าดี ไม่ว่าจะเป็น เดนนิส เบิร์กแคมป์, ปาทริค วิเอร่า, เอ็มมานูเอล เปอตีต์ และ มาร์ค โอเวอร์มาร์ส เข้ามาสร้างฟุตบอลสวยงามที่สุดในลีก 

เพียงเท่านี้ นั่นก็ทำให้อาร์เซนอลกลายเป็นทีมฟุตบอลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในกรุงลอนดอน รวมถึงได้รับความนิยมไปทั่วโลก ซึ่งจนถึงตรงนี้ พวกเขานำห่างด้านความนิยมเหนือสเปอร์สแบบไม่เห็นฝุ่นเรียบร้อยแล้ว

การต่อสู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด

ตลอดช่วงระยะเวลาที่อาร์เซนอลครองความยิ่งใหญ่เด็ดขาดเหนือสเปอร์ส มีเรื่องราวอีกมากมายที่ทำให้แฟนบอลไก่เดือยทองต้องชอกช้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในเรื่องราวอื้อฉาวที่สุด คือการย้ายทีมของ โซล แคมป์เบล ปราการหลังชื่อดังผู้เป็นนักเตะเยาวชน และอดีตกัปตันทีมของสเปอร์สที่ตัดสินใจโยกไปซบอาร์เซนอลในปี 2001

โดยสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าการเสียนักเตะสุดที่รักของทีมให้แก่คู่ปรับตลอดกาล คือความจริงที่แฟนสเปอร์สต้องทนเห็นแคมป์เบลประสบความสำเร็จในฐานะแชมป์ไร้พ่าย ในฤดูกาล 2003-04 ราวกับเขาเป็นผู้สืบทอดความยิ่งใหญ่ของโทนี่ อดัมส์ มาตั้งแต่ต้น 

นี่คือความจริงอันน่าเจ็บปวดของแฟนสเปอร์ส เมื่อท้ายที่สุดแล้ว ความเกลียดชังที่พวกเขามีให้ต่อแคมป์เบล ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่คนทรยศรายนี้ประสบความสำเร็จอย่างน่าเหลือเชื่อกับอาร์เซนอลในเวลาต่อมา

ไม่เพียงแค่นี้ แฟนอาร์เซนอลยังดื่มด่ำช่วงเวลาที่พวกเขาเหนือกว่าคู่ปรับร่วมท้องถิ่นอย่างคุ้มค่า ด้วยการตั้งวันพิเศษที่เรียกว่า “St Totteringham’s Day” หรือ “วันนักบุญท็อตแนม” วันพิเศษประจำปีที่แฟนอาร์เซนอลจะออกมาเฉลิมฉลอง 

Getty Images

เมื่อพวกเขารู้ข่าวว่าสเปอร์สจะไม่มีทางจบอันดับเหนือกว่าทัพปืนใหญ่บนตารางพรีเมียร์ลีก นี่คือธรรมเนียมที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 1995 และยังคงดำเนินอยู่ถึงปัจจุบัน แม้ระยะหลังอาจมีบางฤดูกาลที่แฟนอาร์เซนอลไม่ได้ฉลองในวันนักบุญท็อตแนม

ถึงตรงนี้ ดาร์บี้ลอนดอนเหนือคงจะเสื่อมมนต์ขลัง หากท็อตแนม ฮอทสเปอร์ ไม่รีบยกระดับตัวเองให้เข้าใกล้อาร์เซนอลมากกว่านี้ ซึ่งนี่เป็นโชคดีสำหรับแฟนไก่เดือยทองเหมือนกัน เมื่ออาร์เซนอลตัดสินใจรัดเข็มขัดอย่างหนัก หลังสร้างสนามเอมิเรสต์ สเตเดี้ยม ส่งผลให้อาร์เซนอลไม่สามารถครองความยิ่งใหญ่ในฟุตบอลอังกฤษได้เหมือนเดิมอีกต่อไป

นี่จึงเปิดโอกาสให้สเปอร์สได้ก้าวขึ้นมาทวงคืนตำแหน่งราชาแห่งลอนดอนเหนืออีกครั้ง เพราะในขณะที่อาร์เซนอลกำลังเสียสูญเนื่องจากปรับตัวไม่ทันฟุตบอลยุคใหม่ในช่วงต้นทศวรรษ 2010s สเปอร์สถือเป็นหนึ่งในสามทีมร่วมกับ เชลซี และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่พัฒนาทีมได้อย่างถูกต้องในช่วงเวลานั้น 

ส่งผลให้สเปอร์สก้าวมาอยู่ในกลุ่มทีม “BIG 6” และขับเคี่ยวแย่งโควต้าบอลยุโรปกับอาร์เซนอลอย่างดุเดือดในทุกฤดูกาล และเนื่องจากความสำเร็จในช่วงสิบปีหลังที่มากกว่าอาร์เซนอล ทัพไก่เดือยทองจึงกลับมามีฐานแฟนที่ใหญ่โตไม่แพ้คู่ปรับร่วมท้องถิ่นอีกครั้ง ส่งผลให้ดาร์บี้ลอนดอนเหนือกลับมาดุเดือดแบบที่ไม่เคยเป็นมานาน

Getty Images

ประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า 100 ปีของคู่ปรับนี้จึงอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เพราะทุกอย่างพาเรากลับไปยังจุดเดิมในวันแรกที่สเปอร์สเฝ้าฝันถึงวันคืนอันหอมหวานในการเป็นทีมที่เหนือกว่า ส่วนอาร์เซนอลต้องเงยหน้ามองทัพไก่เดือยทองที่จบอันดับในตารางพรีเมียร์ลีกด้วยตำแหน่งสูงกว่าอีกครั้ง 

ยิ่งเมื่อวิเคราะห์จากเรื่องราวที่ผ่านมา นั่นทำให้ทุกคนเห็นตรงกันว่า มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะทิ้งห่างกันและกัน เพราะท้ายที่สุด ความยิ่งใหญ่ของอาร์เซนอล และท็อตแนม ฮอทสเปอร์ จะใกล้เคียงกันแบบไม่มีใครยอมใครอย่างที่เคยเป็นมา

นี่คือเรื่องราวความบาดหมางของดาร์บี้ลอนดอนเหนือ การแข่งขันในโลกฟุตบอลที่ไม่มีเรื่องราวของชนชั้นหรือแนวคิดทางการเมืองเข้ามาเป็นส่วนสำคัญ แต่กลับดุเดือดไม่แพ้ดาร์บี้แมตช์ไหนบนโลกใบนี้ เพราะนี่คือการแข่งขันอันดุเดือดที่ว่าด้วยเรื่องของ “ฟุตบอล” อย่างแท้จริง

และเมื่อเราพูดถึงว่าใครคือราชาแห่งลอนดอนเหนือระหว่างอาร์เซนอล กับท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ ? คำตอบนั้นยังไม่แน่ชัด นั่นเท่ากับว่าความดุเดือดของดาร์บี้ลอนดอนเหนือจะคงอยู่ต่อไปตราบนานเท่านาน

ร่วมสนุกลุ้นรางวัลพร้อมโบนัสก้อนใหญ่

ลุ้นโชคที่นี่! ทายผลฟุตบอลประจำวันกับเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือที่สุด

ติดตามบทความและข่าวสารกีฬาอื่นๆของเรา

Facebook : https://www.facebook.com/TheSportingNewsTH
Instagram : https://www.instagram.com/thesportingnews_th
Tiktok : https://www.tiktok.com/@thesportingnewsthailand

Nuttanon Chankwang