ย้อนกลับไปยังวันที่อาร์เซนอลทุ่มเงิน 30 ล้านปอนด์ เพื่อคว้าตัว มาร์ติน โอเดการ์ด จากเรอัล มาดริด ในช่วงซัมเมอร์ปี 2021 ไม่มีใครตื่นเต้นกับการย้ายตัวครั้งนี้เท่าใดนัก แถมบางคนยังตั้งคำถามกับการซื้อตัวครั้งนี้
เพราะโอเดการ์ดล้มเหลวตลอดหกปีที่เขาค้าแข้งให้กับทัพราชันชุดขาว ไม่มีใครเห็นแววของนักเตะผู้เคยถูกเชื่อว่าเป็น “ทายาทของเมสซี่” อีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาโชว์ฟอร์มกับทีมดังแห่งเอมิเรสต์ สเตเดี้ยม เป็นเวลาครึ่งปี แต่กลับไม่เห็นฟอร์มเก่งออกมาเลย
ผ่านไป 18 เดือนจากวันนั้น มาร์ติน โอเดการ์ด ไม่เพียงก้าวมาเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดของอาร์เซนอล แต่ยังเป็นหนึ่งในนักเตะทีดีที่สุดของโลกใบนี้ อะไรที่ทำให้โอเดการ์ดแจ้งเกิดบนเวทีพรีเมียร์ลีกได้อย่างรวดเร็ว ทั้งที่ล้มเหลวมาอย่างยาวนาน ? นี่คือเรื่องราวของเขา
เฝ้ารอการพัฒนาอย่างถูกต้อง
การถูกขังไว้กับทีมสำรองของเรอัล มาดริด เป็นระยะเวลานานถึงหกปี อาจทำให้ใครหลายคนเลือกจะเหมารวม มาร์ติน โอเดการ์ด เข้ากับนักเตะกลุ่มดาวรุ่งตลอดกาลรายอื่นที่มักเริ่มต้นอาชีพกับสโมสรยักษ์ใหญ่ในฐานะดาวรุ่งพุ่งแรง ก่อนถูกลืมเลือนจากโลกฟุตบอลในไม่ช้า หลังพวกเขาล้มเหลวกับสโมสรแห่งนั้น และต้องพเนจรค้าแข้งไปทั่วโลก ด้วยฐานะนักเตะที่กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาไม่จบสิ้น
นั่นคือมุมมองของคนทั่วไปที่มีต่อโอเดการ์ด ซึ่งสวนทางไปจากบรรดาคนใกล้ชิดนักเตะรายนี้เป็นอย่างมาก เพราะถึงแม้มิดฟิลด์ชาวนอร์เวย์จะเคยประสบช่วงเวลาที่ยากลำบากกับทัพราชันชุดขาว แต่คุณภาพแท้จริงของเขาไม่เคยลดลงไปแม้แต่น้อย
ไม่ว่าจะเป็น ทักษะการเล่นฟุตบอลอันเหนือชั้น หรือความเข้าใจในแทคติกฟุตบอลระดับสูง โอเดการ์ดต่างมีสิ่งเหล่านั้นอยู่ในตัว เพียงแต่เขาไม่เคยพบเจอสโมสรที่พร้อมปักหลักเพื่อแสดงความสามารถเหล่านี้ออกมา
การถูกส่งไปยืมตัวอย่างต่อเนื่องกับหลายสโมสร จึงไม่ส่งผลดีต่อพัฒนาฝีเท้าของโอเดการ์ดเท่าใดนัก แต่อย่างน้อยช่วงเวลาเหล่านั้นก็แสดงเส้นทางว่าโอเดการ์ดควรพัฒนาไปทางไหนต่อไป
เพราะในฤดูกาล 2019–2020 ที่เขาถูกส่งออกไปยืมตัวกับเรอัล โซเซียดาด ผลงานของโอเดการ์ดแสดงให้เห็นชัดว่าเขาลงเล่นในศึกลา ลีก้า ได้อย่างสบาย เพียงแค่มาตรฐานของเขาในตอนนี้ดีไม่พอจะเล่นให้เรอัล มาดริด เท่านั้น
ช่วงเวลาของโอเดการ์ดกับเรอัล โซเซียดาด คือเครื่องยืนยันว่านักเตะรายนี้คือของจริงอย่างที่ใครหลายคนคาดหมายกันเอาไว้ เพราะขนาดถูกส่งไปยืมตัวในลีกดัตช์สองฤดูกาลติดต่อกัน เขายังสามารถพัฒนาตัวเองจนเป็นนักเตะที่ลงเล่นในลีกสเปนได้อย่างไร้ปัญหา
นี่จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่โอเดการ์ดควรก้าวออกจากทัพราชันชุดขาว เพื่อมองหาบ้านหลังใหม่ที่จะช่วยให้เขาแสดงฝีเท้าอย่างต่อเนื่องหลังจากนี้
“ผมเป็นห่วงการพัฒนาของโอเดการ์ด เมื่อพวกเราเอาแต่เห็นเขาถูกยืมตัวให้กับสโมสรอื่น เพราะถึงจุดหนึ่ง นักฟุตบอลจำเป็นต้องลงหลักปักฐานกับสโมสรไหนสักแห่ง” คนุต เอสเปน สเวการ์เดน นักข่าวชาวนอร์เวย์กล่าวกับ The Athletic ถึงการพัฒนาที่ถูกต้องของมาร์ติน โอเดการ์ด
“มันถึงเวลาที่เขาจะเลิกออกไปเล่นในสัญญายืมตัว เพราะนี่คือเวลาที่โอเดการ์ดจะเป็นสมบัติของใครสักคน และเป็นเวลาที่เขาควรจะพบบ้านของตัวเอง”
นับเป็นโชคดีของโอเดการ์ดที่พรสวรรค์ของเขาไม่หลุดรอดพ้นสายตาของมิเกล อาร์เตต้า กุนซือแห่งสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล ซึ่งประทับใจฝีเท้านักเตะรายนี้ในทันที หลังทั้งสองฝ่ายได้ร่วมงานกันในช่วงครึ่งฤดูกาลหลังของซีซั่น 2020-2021
อาร์เตต้าประกาศชัดเจนว่าโอเดการ์ด คือนักเตะหมายเลขที่เขาต้องการในตลาดช่วงซัมเมอร์ และเพื่อเรียกความมั่นใจ กับโอกาสในการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง โอเดการ์ดจึงตกลงย้ายร่วมทีมอาร์เซนอลทันที ในฤดูกาล 2021-22
เพราะตัวเขาเองก็รู้ดีว่า นี่คือช่วงเวลาสำคัญในอาชีพนักฟุตบอลของเขา ... หากโอเดการ์ดไม่อยากเป็นดาวรุ่งตลอดกาลแบบคนทั่วไปมองกัน เขาต้องย้ายซบอาร์เซนอลในเวลานี้เท่านั้น
เมื่อพบเจอบ้านที่ตามหามานาน
ชีวิตระยะแรกของโอเดการ์ดในถิ่นเอมิเรสต์ สเตเดี้ยม ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อเขาต้องต่อสู้เพื่อแย่งตำแหน่งตัวจริงจนถึงเดือนพฤศจิกายน ปี 2011
แต่หลังจากปรับตัวเข้ากับระบบการเล่นของอาร์เตต้าได้สำเร็จ โอเดการ์ดกลายเป็นกำลังหลักของทัพปืนใหญ่จนถึงปัจจุบัน โดยภาพรวมแล้วเขาใช้เวลาไม่ถึงครึ่งปีกับการปรับตัวเข้าหาแทคติกของอาร์เตต้า และวงการฟุตบอลในอังกฤษโดยภาพรวม
เหตุผลสำคัญที่ทำให้โอเดการ์ดกลายเป็นส่วนสำคัญของอาร์เซนอลได้อย่างรวดเร็ว คือสไตล์การเล่นฟุตบอลของเขาซึ่งเข้ากับปรัชญาฟุตบอลของอาร์เซนอลอยู่แล้ว โดยโอเดการ์ดถูกยกย่องมาตั้งแต่แรกแล้วว่าทักษะของเขาชวนให้นึกถึง เมซุต โอซิล อดีตเพลย์เมคเกอร์คนสำคัญของทัพปืนใหญ่ในช่วงก่อนหน้า
จุดเด่นของโอเดการ์ดในเรื่องของเทคนิคที่ยอดเยี่ยมจึงเข้ามาอำนวยความสะดวกในการเล่นเกมรุกของอาร์เซนอลได้อย่างน่าเหลือเชื่อ และสวนทางกับโอซิลในช่วงท้ายที่เล่นแบบล่องลอยไร้จุดหมาย โอเดการ์ดลงสนามด้วยความกระหายที่เต็มเปี่ยม
นั่นจึงทำให้เขาพร้อมจะโชว์กลเม็ดสวยงามที่เก็บซ่อนไว้ในกระเป๋า ซึ่งแน่นอนว่าต้องอยู่ภายใต้กรอบการเล่นฟุตบอลเป็นทีม อันถือเป็นปรัชญาสำคัญของอาร์เตต้า
ยิ่งบวกกับความจริงที่ครั้งหนึ่ง มาร์ติน โอเดการ์ด ถือเป็นนักเตะที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เคยอยากคว้าตัวมาครอบครองตั้งแต่ปี 2014 เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับ เป๊บ กวาดิโอล่า ที่กำลังจะเข้ามาคุมทีมในอีกไม่กี่ปีต่อมา
บรรดาผู้คนวงในของทัพเรือใบสีฟ้า ต่างมองเห็นถึงศักยภาพของมิดฟิลด์ชาวนอร์เวย์ที่จะก้าวเป็นนักเตะระดับโลกตั้งแต่เกือบสิบปีก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ภายใต้แทคติกติกิ-ตาก้า ของกวาดิโอล่า
นี่จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจหาก มิเกล อาร์เตต้า จะเคยออกตัวแรงว่าเขาต้องการคว้าตัวโอเดการ์ดในช่วงตลาดซัมเมอร์ปี 2021 เพราะอาร์เตต้าย่อมรู้ดีถึงศักยภาพของนักเตะรายนี้ เมื่อกุนซือชาวสเปนทำงานเป็นผู้ช่วยของเป๊บ กวาดิโอล่า ตั้งแต่ปี 2016
การคว้าตัวโอเดการ์ดจึงไม่ใช่แค่ดีลที่ดีของอาร์เซนอล แต่เป็นดีลระดับแจ็คพอต หากโอเดการ์ดสามารถแสดงศักยภาพในระดับนักเตะของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ออกมาได้
ผลงานของเพลย์เมคเกอร์รายนี้ในปัจจุบันจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะ มาร์ติน โอเดการ์ด ถือเป็นนักเตะที่มีศักยภาพที่จะก้าวเป็นเควิน เดอ บรอยน์ คนใหม่ ตั้งแต่ต้น เพียงแต่เขาเสียเวลานานหลายปีกับเรอัล มาดริด และยังต้องการเวลาปรับตัวกับสโมสรฟุตบอลแห่งใหม่เท่านั้น
แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่โอเดการ์ดค้นหาบ้านหลังใหม่ของตัวเองพบ เขาก็พร้อมจะแสดงศักยภาพของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ ซึ่งนับเป็นโชคดีของโอเดการ์ด เมื่อสโมสรที่เห็นคุณค่าของเขาคือทีมที่เหมาะสมกับทักษะของเขาทุกอย่าง เราจึงสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า โอเดการ์ด คือนักเตะที่เกิดมาเพื่ออาร์เซนอลในยุคของมิเกล อาร์เตต้า อย่างแท้จริง
ปลอกแขนกัปตันช่วยดึงศักยภาพ
ปัจจุบัน โอเดการ์ด มีหน้าที่หลายอย่างเมื่อเขาลงเล่นให้กับอาร์เซนอล โดยหน้าที่หลักย่อมหนีไม่พ้นการสร้างโอกาสผ่านการจ่ายบอลที่อันตราย เพื่อเปิดโอกาสให้เพื่อนร่วมทีมเข้าไปทำประตู และยิ่งไปมากกว่านั้น คือการเคลื่อนที่เข้าสู่พื้นที่อันตรายของเขา ซึ่งนำมาสู่การทำประตูอย่างถล่มทลายในฤดูกาลปัจจุบัน โดยขณะนี้ โอเดการ์ดยิงในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2022-23 ไปแล้ว 7 ประตู
แต่นอกจากหน้าที่ในสนาม ยังมีอีกบทบาทสำคัญที่โอเดการ์ดต้องแบกรับ นั่นคือ ตำแหน่งกัปตันทีมอาร์เซนอล ภาระอันหนักหนาซึ่งนักเตะชื่อดังหลายคนล้มเหลวมาก่อนหน้านี้ เรื่องที่น่าแปลกใจจึงหนีไม่พ้นความจริงที่โอเดการ์ดสามารถทำงานในฐานะกัปตันทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ตัวเขาจะมีอายุเพียง 24 ปี
อย่างไรก็ดี หากย้อนกลับไปมองเส้นทางการค้าแข้งของโอเดการ์ดโดยละเอียด จะพบว่าเขาถูกแต่งตั้งเป็นกัปตันทีมชาตินอร์เวย์ ตั้งแต่อายุ 23 ปี เนื่องจากบรรดาผู้ใกล้ชิดในวงการฟุตบอลนอร์เวย์ต่างเห็นตรงกันว่า โอเดการ์ดสลับคราบนักเตะดาวรุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาก้าวขึ้นมาเป็นปากเสียงในห้องแต่งตัว และเลิกเป็นเด็กเหนียมอายที่คอยฟังแต่คำสั่งโค้ข
โอเดการ์ดคือนักเตะที่ทุกคนสามารถพูดคุยกับเขาได้ราวกับเป็นนักเตะอาวุโสรายหนึ่ง เพราะเจ้าตัวชอบจะรับฟังความเห็นของผู้อื่น พร้อมกับเคารพเพื่อนร่วมทีมอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่บรรดานักวิจารณ์คอยโจมตีอาชีพของเขาในระดับสโมสร
โอเดการ์ดยังแยกปัญหาตรงนั้นออกจากการรับใช้ทีมชาติ จนทำให้เขากลายเป็นผู้นำทีมที่ต้องมองภาพใหญ่ตลอดเวลา ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ เออร์ลิง ฮาลันด์ ไม่มีวันทำได้
“เมื่ออยู่นอกสนาม โอเดการ์ดคือผู้นำที่ดีคนหนึ่ง แม้เขาจะไม่ใช่นักเตะที่พูดเสียงดังหรือพูดมากที่สุดของเรา แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาเอ่ยปากพูด เขาพูดทุกอย่างออกมาโดยมีเหตุผล และเขาเป็นคนที่หนักแน่นมากกับค่านิยมที่ดี นั่นคือส่วนสำคัญที่ทำให้เขาได้ความเคารพทั้งในและนอกสนาม” สเตล โซลบัคเคน ผู้จัดการทีมชาตินอร์เวย์ กล่าวถึงภาวะผู้นำของโอเดการ์ด
บทบาทของโอเดการ์ดในทีมชาตินอร์เวย์สอดคล้องกับสิ่งที่อาร์เซนอลกำลังตามหา เพราะจิตวิญญาณกัปตันทีมในวงการฟุตบอลอังกฤษยังคงเป็นไปตามขนบธรรมเนียม คือกัปตันจะต้องเป็นศูนย์กลางของผู้เล่นในสนาม และสามารถพาทีมไปสู่ชัยชนะได้ แม้จะอยู่ในวินาทีแสนขับคัน
โอเดการ์ดมีคุณสมบัติเหล่านั้นทั้งหมดอยู่ในตัว หรืออย่างน้อยที่สุด เขาก็พัฒนาตัวเองให้ดีพอกับตำแหน่งกัปตันทีมอาร์เซนอล โดยในระยะแรก กองกลางชาวนอร์เวย์มีปัญหาเรื่องสภาพความฟิตอย่างมาก เนื่องจากไม่คุ้นชินกับฟุตบอลอังกฤษ
แต่ด้วยทัศนคติที่ยอดเยี่ยม โอเดการ์ดพัฒนาสภาพร่างกายของตัวเองอย่างรวดเร็วผ่านการทำงานหนักตลอดหลายเดือน ซึ่งในไม่ช้า เขาก็สามารถเอาชนะจุดอ่อนของตัวเอง เพื่อกลายเป็นกำลังหลักของอาร์เซนอล
เมื่อบวกกับความชาญฉลาดในการเล่นฟุตบอลของโอเดการ์ด นั่นยิ่งทำให้มิดฟิลด์รายนี้สามารถซื้อใจอาร์เตต้าได้อย่างหมดจด
เพราะกุนซือชาวสเปนไม่เพียงต้องการมอบปลอกแขนกัปตันให้กับนักเตะสักคนที่ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี แต่จะต้องเป็นนักเตะที่รู้ว่าควรทำอะไรเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของทีม ยิ่งกว่านั้นคือนักเตะที่สามารถถ่ายทอดปรัชญา, แทคติค และแนวคิดของผู้จัดการทีมลงสู่สนาม ซึ่งโอเดการ์ดมีความสามารถตรงนั้นทั้งหมด
เหตุผลสำคัญที่โอเดการ์ดสามารถพัฒนาเป็นนักเตะระดับโลกได้อย่างทุกวันนี้ จึงหนีไม่พ้นความเชื่อใจที่สโมสรและนักเตะมอบให้แก่กันและกัน อาร์เซนอลได้เข้ามาเป็นบ้านที่ดีที่สุดของโอเดการ์ด โดยโอเดการ์ดก็อยากพัฒนาตัวเองเป็นนักเตะที่ดีที่สุดของอาร์เซนอล
ตราบใดก็ตามที่โอเดการ์ดยังคงได้ความรักอย่างดีจากมิเกล อาร์เตต้า และได้รับการดูแลอย่างถูกต้องโดยอาร์เซนอล อนาคตที่เขาจะก้าวไปคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกร่วมกับต้นสังกัดปัจจุบันคงไม่ไกลเกินฝัน เพราะขณะนี้ยุคทองของทัพปืนใหญ่เพิ่งจะเริ่มต้น โดยมี มาร์ติน โอเดการ์ด เป็นผู้นำของทีมนับจากนี้
“เขากำลังมีความสุข ผมยืนยันเรื่องนี้กับคุณได้เลย โอเดการ์ดกำลังชอบลอนดอน และเขารักอาร์เซนอลมาก เขามีความเชื่อมโยงที่สำคัญกับอาร์เตต้าอยู่ เราทุกคนภูมิใจในตัวเขามาก เพราะเขามีคาแรกเตอร์ที่มาพร้อมกับโฟกัสที่ยอดเยี่ยม และสิ่งสำคัญที่สุดคือเขารักฟุตบอล” รูน มาร์ตินเซน ผู้บริหารทีมสตรอมก็อดเซ็ทที่สนิทกับโอเดการ์ด กล่าว
“ผมคิดว่าเขาจะเล่นกับอาร์เซนอลได้นานเป็นสิบปีหลังจากนี้เลยละ”
NBA LEAGUE PASS สมัครเพื่อชมการแข่งขันเอ็นบีเอสดทุกนัดคลิก