รัฐประหาร ‘49 : จุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้แมนฯ ซิตี้ ไร้เทียมทาน

Nuttanon Chankwang

รัฐประหาร ‘49 : จุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้แมนฯ ซิตี้ ไร้เทียมทาน image

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือทีมฟุตบอลที่ร้อนแรงที่สุดในโลกตอนนี้ แค่สองคู่หูตัวรุก อย่าง เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ และเควิน เดอ บรอยน์ ก็ไม่มีทีมไหนหยุดพวกเขาได้อยู่ 

แต่ความยิ่งใหญ่ของทัพเรือใบสีฟ้าในปัจจุบัน กลับไม่น่าเชื่อว่ามีจุดเริ่มต้นจากประเทศไทยของเรานี่แหละ เพราะการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ผ่านการรัฐประหาร ได้นำไปสู่ความเปลี่ยนที่สโมสรสีฟ้าในแมนเชสเตอร์

เราจะพาทุกท่านย้อนกลับไปในวันที่ 19 กันยายน พุทธศักราช 2549 กับจุดเริ่มต้นที่เปลี่ยนสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปตลอดกาล

Getty Images

จากไทย สู่แมนเชสเตอร์

ย้อนไปในปีพุทธศักราช 2549 การเมืองไทยในเวลานั้นมีความร้อนระอุอยู่พอสมควร ภายใต้การนำของผู้บริหารอย่าง ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทยในเวลานั้น 

มีความเห็นต่างทางการเมืองในไทยแบ่งออกเป็นสองฝ่าย อย่างไรก็ตามอำนาจของทักษิณ ชินวัตร ดูไม่มีทางจะหายไปได้เลย ด้วยความนิยมจากประชาชนที่ล้มหลาม หลังสามารถทำให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าได้ดีที่สุด หลังจากวิกฤตการต้มยำกุ้ง 

อย่างไรก็ตามสำหรับประเทศไทย การเมืองไม่เคยเป็นเรื่องของประชาชนแต่เป็นเรื่องของผู้มีอำนาจ มีหลายคนที่เป็นใหญ่ในสังคมไทยที่มีความขัดแย้งกับทักษิณ และต้องการความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น ซึ่งหมายถึงการโค่นอำนาจของนายกรัฐมนตรีรายนี้

ในสายตาของประชาชน ไม่มีใครได้กลิ่นของการรัฐประหาร แม้จะรับรู้ได้ถึงปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้น แต่สำหรับคนวงในเหมือนจะรู้ถึงโอกาสของการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างดี โดยทักษิณ ชินวัตร เคยพยายามเรียกประชุมกับเหล่าผู้บัญชาการทหารที่มีอำนาจ ในช่วงเช้าวันที่ 19 กันยายน เพื่อหยุดยั้งการรัฐประหาร แต่สุดท้ายก็ไร้ผล

นั่นจึงทำให้ในเวลา 22.54 นาฬิกาในวันที่ 19 กันยายน คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ คปค. นำโดยพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกของประเทศไทยในเวลานั้น ทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากทักษิณ ชินวัตร ขับไล่นักการเมืองรายนี้ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในทันที

สำหรับตัวของทักษิณ ในเวลานั้นไม่ได้อยู่ที่ประเทศไทย แต่อยู่ที่สหรัฐอเมริกา ด้วยภารกิจประชุมกับสหประชาชาติที่นิวยอร์ก และเขาไม่สามารถกลับไทยได้ เนื่องจากมีการตั้งข้อหามากมายกับอดีตนายกรัฐมนตรีรายนี้ 

ภายในระยะเวลาไม่นานหลังจากการรัฐประหาร ทักษิณบินไปตั้งหลักชีวิตที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และด้วยความที่ชอบกีฬาฟุตบอลเป็นการส่วนตัว รวมถึงเคยคิดจะซื้อสโมสรฟุตบอลมาแล้ว ทั้งลิเวอร์พูล และฟูแล่ม แต่ไม่สามารถซื้อได้ เพราะมีตำแหน่งทางการเมืองในไทย แต่เมื่อตอนนี้เขาไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกต่อไปแล้ว ทักษิณจึงเริ่มตามฝันของเขาอีกครั้ง

ทักษิณกลายเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลในอังกฤษ อย่างรวดเร็ว นั่นคือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ สโมสรมวยรองบ่อนของแมนเชสเตอร์ที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานแต่ขาดกำลังเงิน ในที่สุดก็ได้เจ้าของใหม่ที่มีฐานะมากพอ จะพาทีมไปลุ้นความสำเร็จ

จากอดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ทักษิณ ชินวัตร กลายเป็นพระเจ้าของแฟนทีมเรือใบสีฟ้า เพราะการเทคโอเวอร์ครั้งนี้ ชวนให้นึกถึงการเทคโอเวอร์ของเชลซีที่ได้โรมัน อับราโมวิช มาเป็นเจ้าของใหม่ และพาทัพสิงโตน้ำเงินครามสู่ความยิ่งใหญ่

Getty Images

เรือใบฝันสลาย

ทักษิณเริ่มสร้างความตื่นตาตื่นใจให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อย่างรวดเร็ว เขาซื้อนักเตะที่ดูมีของหลายคนมาร่วมทีม ทั้ง มาร์ติน เปตรอฟ, โรแลนโด้ เบียงคี่, เกลสัน เฟร์นานเดซ, วาเรลี่ โบยินอฟ และเอลาโน่ นักเตะดีกรีทีมชาติบราซิลชุดใหญ่

แข้งหลายคนที่ทักษิณซื้อให้แมนฯ ซิตี้ มีดีกรีระดับเล่นบอลยุโรปมาแล้ว ซึ่งกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในตอนนั้นที่เป็นทีมท้ายตาราง หนีตกชั้นเกือบทุกปี การได้นักเตะมีชื่อเหล่านี้มาก็เหมือนเห็นแสงสว่างอันสดใสของทีม

นอกจากนี้ แฟนเรือใบสีฟ้ายังตื่นเต้นที่ได้ สเวน โกรัน อีริคสัน ผู้จัดการทีมชาวสวีเดนที่ก่อนหน้านี้เพิ่งคุมทีมชาติอังกฤษมาหมาด ๆ ซึ่งอีริคสันถือเป็นโค้ชใหญ่ดีกรีดีที่สุดในรอบหลายปีของแมนฯ ซิตี้ ยิ่งทำให้แฟน ๆ ตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก 

อย่างไรก็ตาม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยุคทักษิณก็ต้องพบว่า นักเตะที่ย้ายมาส่วนใหญ่ไม่ได้เน้นเรื่องการใช้งานได้จริง แต่หลายคนมีแต่ชื่อเสียง และดีกรี แต่พอเจอฟุตบอลอังกฤษกลับไปไม่รอด ล้มเหลวกันไปก็หลายคน ต้องใช้ความสามารถของโค้ชมากประสบการณ์ อย่างอีริคสันประคองทีม

ปัญหาของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในฤดูกาลนั้น คือไม่มีความสม่ำเสมอ พวกเขาเคยชนะถึง 7 เกมจาก 10 นัด แต่ในขณะเดียวกัน ก็เคยชนะแค่ 2 เกม ในช่วงเวลา 10 นัดเช่นกัน

แม้ว่าในความเป็นจริง ทีมในฤดูกาล 2007-08 จบถึงอันดับที่ 9 เป็นอันดับที่ดีที่สุดของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ บนเวทีพรีเมียร์ลีกในรอบ 3 ปี แต่คนส่วนใหญ่มักจบจำผลงานแย่ ๆ ของทีม ทั้งการแพ้ต่อเชลซี 0-6 และมิดเดิลสโบรห์ 1-8 

แต่สิ่งที่ทำให้ทักษิณดูเริ่มเป็นผู้ร้ายในสายตาของแฟนบอล คือการสั่งปลดสเวน โกรัน อีริคสัน ออกจากตำแหน่ง ทั้งที่แฟนเรือใบสีฟ้าของว่าอีริคสันคือคนที่ช่วยทีมแมนฯ ซิตี้ ในฤดูกาลนี้เอาไว้ 

นอกจากนี้ในช่วงเตรียมทีมฤดูกาลใหม่ ทักษิณยังไม่ได้ทุ่มทุนซื้อแบบฤดูกาลก่อน แถมไปดึงมาร์ค ฮิวจ์ส ผู้จัดการทีมสายเน้นอยู่รอด และไม่เคยประสบความสำเร็จอะไรในการคุมทีมฟุตบอลแม้แต่ถ้วยเดียว (จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยได้สักถ้วย) 

แต่ใครจะไปรู้ว่าการถอดใจของทักษิณ นำมาซึ่งความยิ่งใหญ่ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้

จากฝันร้าย สู่ความยิ่งใหญ่

หากใครติดตามการเมืองไทยสักนิด คงรู้ดีว่าทักษิณ ชินวัตร มีความสนิทสนมอย่างมาก กับกลุ่มราชวงศ์จากอาบูดาบี แห่งประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งก็ไม่มีใครคิดหรอกว่า ความใกล้ชิดกันระหว่างเศรษฐีไทย กับเศรษฐีตะวันออกกลาง จะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกฟุตบอล

ขณะที่ทักษิณกำลังถอดใจ กลุ่มทุนจาก UAE กลับสนใจที่จะลงทุนในธุรกิจฟุตบอลขึ้นมา และทางเลือกที่คุยง่ายที่สุด ก็คือคุยกับเพื่อนตัวเอง อย่างทักษิณ ชินวัตร 

นอกจากนี้ทางฝั่งของทักษิณเอง ยังคงเจอปัญหาทางการเมืองไม่เลิก เขาถูกตั้งข้อหาด้านการเงินหลายคดี ซึ่งนำมาซึ่งการสอบสวนจากทางพรีเมียร์ลีกที่เริ่มการสืบว่า เงินที่ทักษิณเทคโอเวอร์สโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ อาจไม่ใช่เงินที่โปร่งใส และถูกต้องตามกฎหมาย

ความจริงเป็นอย่างไรไม่สำคัญ แต่สิ่งสำคัญคือทักษิณไม่ต้องการเป็นเจ้าของทีมฟุตบอลในอังกฤษอีกต่อไป เพื่อตัดปัญหาเขาเลือกขายสโมสรให้กลุ่มทุนจากอาบูดาบี และปิดดีลลงได้อย่างรวดเร็ว 

ซึ่งขณะที่มีข่าวลือของการซื้อขายสโมสรกันอยู่ ว่าที่เจ้าของใหญ่จากตะวันออกกลางได้ยอมมอบเงินก้อนโต ซื้อตัวโรบินโญ่กองหน้าชาวบราซิลจากเรอัล มาดริด ด้วยค่าตัว 32.5 ล้านปอนด์ เป็นสถิติซื้อตัวนักฟุตบอลที่แพงที่สุดของประเทศอังกฤษในเวลานั้น 

หลังจากนั้นเพียงหนึ่งวัน การซื้อขายสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็เสร็จสมบูรณ์ กลุ่มทุนจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์กลายเป็นเจ้าของใหม่ของทีมเรือใบสีฟ้า และสร้างความสำเร็จเปลี่ยนให้ทีมนี้ กลายเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จที่สุดในฟุตบอลอังกฤษยุคปัจจุบัน 

ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรกับทักษิณ ชินวัตร แต่ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือถ้าเขาไม่ซื้อแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมเรือใบสีฟ้าคงไม่มีประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่แบบทุกวันนี้ หรือหากทักษิณไปซื้อสโมสรอื่น ตอนนี้ทีมที่แกร่งที่สุดในอังกฤษ ก็อาจไม่ใช่แมนฯ ซิตี้

แต่ท้ายที่สุด ถ้าไม่มีการรัฐประหารในปีพุทธศักราช 2549 ทุกอย่างก็คงไม่เกิดขึ้น เหมือนกับคำที่เขาว่า “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” การเปลี่ยนแปลงในประเทศไทยทางการเมือง กลับส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งของโลกฟุตบอล

Erling Haaland of Man City
Getty Images

 

Nuttanon Chankwang

Nuttanon Chankwang  Photo

บรรณาธิการบริหาร The Sporting News Thailand