รู้หรือไม่? ก่อนที่โรแบร์โต มันชินี และ เยอร์เกน คลินส์มันน์ จะคุมทีมเผชิญหน้ากันในเกมเอเชียน คัพ รอบ 16 ทีมสุดท้าย ระหว่าง ซาอุดิอาระเบีย พบ เกาหลีใต้ ในวันอังคารนี้ ทั้งคู่เคยดวลกันมาแล้วสมัยเป็นนักเตะอยู่ในกัลโช เซเรีย อา
โรแบร์โต มันชินี ย้ายจากโบโลญญา มาอยู่กับซามพ์โดเรีย ในปี 1982 และมีส่วนสำคัญในการพาทีมลาซามพ์คว้าทั้งสคูเดตโต้ในฤดูกาล 1990-91, โคปปา อิตาเลีย 4 สมัย, ซูเปอร์ โคปปา อิตาเลีย 1 สมัย, คัพ วินเนอร์ส คัพ 1 สมัย รวมถึงรองแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ในฤดูกาล 1991-92
ขณะที่เยอร์เกน คลินส์มันน์ ย้ายจากสตุ๊ตการ์ท มาอยู่กับอินเตอร์ มิลาน ในปี 1989 ถือเป็นหนึ่งในสามทหารเสือเยอรมันของทีมงูใหญ่ ร่วมกับ โลธาร์ มัทเธอุส และอันเดรียส เบรห์เม รวมถึงเคยพาทีมเนรัซซูรีคว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ ในฤดูกาล 1990-91 มาครองได้สำเร็จ
เรื่องราวของการดวลในครั้งนั้น ที่ถูกยกให้เป็นเกมที่ดีที่สุดตลอดกาลเกมหนึ่งของกัลโช เซเรีย อา เป็นอย่างไร ติตดามที่นี่
มันชินี VS คลินส์มันน์
หากย้อนกลับไปในช่วงเวลาเมื่อ 30 ปีก่อน ลีกฟุตบอลที่ได้รับความนิยมสูงสุด ก็ต้องบอกว่าเป็น เซเรียอา อิตาลี ที่ในตอนนั้นหลาย ๆ ทีมต่างแย่งกันคว้าแชมป์ได้สนุก แถมยังมีเหล่านักเตะซูเปอร์สตาร์โลดแล่นอยู่ที่นั่นกันเยอะ
เช่นเดียวกันกับที่ ซามพ์โดเรีย และ อินเตอร์ มิลาน ที่ทั้งสองทีมเป็นสองทีมที่มีผลงานที่ดีมาก ๆ ในช่วงนั้น พร้อมกับมีนักเตะชื่อดังประดับทีม
ทาง ลา ซามพ์ นำทัพมาด้วย จานลูก้า วิอัลลี, โรแบร์โต มันชินี และ อัตติลิโอ ลอมบาร์โด ในขณะที่ทีมงูใหญ่มี 3 ทหารเสืออย่าง โลธาร์ มัทเธอุส, เยอร์เกน คลินส์มันน์ และ อันเดรียส เบรห์เม
และถึงแม้ว่าขุมกำลังของ ซามพ์โดเรีย จะดูเป็นรองของฝั่ง อินเตอร์ อยู่หน่อย ๆ แต่ในปี 1990-1991 พวกเขาถือว่าเป็นทีมม้ามืด ที่ทำผลงานได้ดีเกินคาด
ซามพ์โดเรีย ไม่เคยจบอันดับท็อปโฟร์เลยสักครั้งเดียว แต่ในช่วงท้ายฤดูกาล พวกเขายังคงนำจ่าฝูงเดี่ยว ๆ อยู่ ในขณะที่อันดับที่ 2 เป็น เอซี มิลาน และอันดับที่ 3 เป็น อินเตอร์
ในช่วงก่อนเกมสัปดาห์ที่ 31 ซามพ์โดเรีย มีแต้มนำ อินเตอร์ อยู่ 3 แต้ม ก่อนที่ทั้งสองทีมจะมาเจอกันในเกมสัปดาห์นั้นซึ่งทัพงูใหญ่เป็นเจ้าบ้าน พวกเขาต้องการชนะเท่านั้นเพื่อที่จะแย่งตำแหน่งจ่าฝูงจาก ซามพ์โดเรีย เพราะนี่คือการเผชิญหน้ากับทีมจ่าฝูงโดยตรง
ทาง อินเตอร์ มิลาน มีแต้มต่อด้วยการมีสถิติที่ว่าพวกเขาไม่แพ้ให้กับทีมไหนในบ้านนอกจาก เอซี มิลาน มา 3 ปีเต็ม ๆ แล้ว กล่าวคือ เกมนี้ เป็นโอกาสที่ดีมาก ๆ ที่ อินเตอร์ จะได้พลิกสถานการณ์ตารางคะแนนของเซเรียอาปีนั้น
ในเกม ๆ นี้ เยอร์เกน คลินส์มันน์ มีโอกาสพา อินเตอร์ ขึ้นนำไปก่อนในช่วงครึ่งแรกแต่โดนจับล้ำหน้าแบบงง ๆ ในขณะที่ก่อนจบครึ่งแรก โรแบร์โต มันชินี กองหน้าของ ลาซามพ์ และ จูเซปเป้ แบร์โกมี กองหลังของ อินเตอร์ โดนไล่ออกทั้งคู่ หลังจากมีปัญหากันในกรอบเขตโทษ ทำให้ทั้งสองทีมเหลือผู้เล่นทีมละ 10 คน
เริ่มครึ่งหลังมา ซามพ์โดเรีย ที่โดน อินเตอร์ กดมาโดยตลอด มาได้ประตูจากการยิงครั้งแรกในครึ่งหลัง จากการยิงของ จูเซปเป้ ดอสเซนา ในนาทีที่ 60
ผู้มาเยือน ดีใจได้ไม่ทันไร ในนาทีที่ 66 อินเตอร์ ได้จุดโทษ หลัง นิโคลา เบอร์ตี นักเตะของ อินเตอร์ โดนทำฟาวล์ แต่สุดท้าย โลธาร์ มัทเธอุส ก็ยิงไปติดเซฟของ จิอันลูก้า ปายูก้า นายด่านของ ซามพ์โดเรีย ซะอย่างนั้น
จากนั้น อินเตอร์ ก็บดใส่ทีมผู้มาเยือนอย่างหนัก แต่ก็ได้ ปายูก้า ที่ช่วยเซฟไปได้มากถึง 14 ครั้ง และเหล่าผู้เล่นของ ซามพ์โดเรีย ที่คอยช่วยกันลงมาแพ็คเกมรับ
สุดท้าย ซามพ์โดเรีย มาได้ประตูปิดกล่องในนาทีที่ 76 จาก จานลูก้า วิอัลลี ส่งผลให้เกมนี้ ลา ซามพ์ มาเก็บชัยในถิ่นของ อินเตอร์ มิลาน ได้ และดับฝันการคัมแบ็คกลับขึ้นมาจ่าฝูงของพวกเขา
ในขณะที่ ซามพ์โดเรีย หลังจากชนะในเกมนี้แล้ว พวกเขาที่มี 47 แต้ม ต้องการเพียงแค่ 3 แต้มเท่านั้นจาก 3 เกมสุดท้าย เพื่อการันตีการคว้าแชมป์สคูเดตโต้สมัยแรกของพวกเขา
ซึ่งสุดท้ายแล้ว พวกเขาก็สามารถคว้าแชมป์ประวัติศาสตร์ได้สำเร็จ เพราะ 3 นัดหลังสุดพวกเขาเสมอกับ โตริโน 1-1, ชนะ เลชเช 3-0 และ เสมอกับ ลาซิโอ 3-3 ในนัดปิดฤดูกาล
แต่แน่นอนว่า การคว้าแชมป์ของ ซามพ์โดเรีย ในครั้งนี้ แมตช์ที่น่าจดจำมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นเกมที่พวกเขาเอาชนะ อินเตอร์ มิลาน ได้ในช่วงท้ายฤดูกาล
เพราะถ้าหากว่าผลการแข่งขันนั้นออกมาอีกแบบ อาจจะเป็นไปได้ว่าแชมป์สคูเดตโต้ในปีนั้นอาจจะเปลี่ยนมือ ตกเป็นของ 2 ทีมยักษ์ใหญ่จากเมืองมิลานก็เป็นไปได้ ทำให้แมตช์ ๆ นี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งแมตช์คลาสสิกตลอดกาลในวงการลูกหนัง
ลุ้นรางวัลใหญ่ เชียร์ทีมชาติไทยถึงเกาหลีใต้
ลุ้นโชคที่นี่! ทายผลฟุตบอลประจำวันกับเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือที่สุด
ติดตามบทความและข่าวสารกีฬาอื่นๆของเรา
Facebook : https://www.facebook.com/TheSportingNewsTH
Instagram : https://www.instagram.com/thesportingnews_th
Tiktok : https://www.tiktok.com/@thesportingnewsthailand