ไม่ใช่ทุกวันที่นักเตะทุกคนจะได้กลายเป็นไอคอนของวงการ
แต่ผู้รักษาประตูสูง 195 เซ็นติเมตร อย่าง ยาสซีน บูนู ก็ทำมันได้ในเกมที่พบกับ สเปน ในรอบ 16 สุดท้าย ซึ่งเขาพา โมร็อกโก ชนะการดวลจุดโทษกับทัพกระทิงดุ จนผ่านเข้าไปเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ
แน่นอนว่าเขาโชว์ฟอร์มได้ได้ยอดเยี่ยมในรอบก่อนรองชนะเลิศที่เอาชนะ โปรตุเกส 1-0 พา โมร็อกโก เข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศได้เป็นครั้งแรก และยังเป็นครั้งแรกที่ชาติจากแอฟริกาเข้าไปถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายได้
โบโน ได้กลายมาเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่มีชื่อเสียงที่สุดในชั่วพริบตา ซึ่งนั่นเป็นความสำเร็จที่น่าประทับใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคู่แข่งของคุณคือทีมที่มีกองหน้าวัย 37 ปีอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้
ฝีมือของ โบโน ได้ถูกพูดถึงเป็นวงกว้างในฟุตบอลโลกหนนี้ เขาพา โมร็อกโก ผ่านมาได้ทั้ง โครเอเชีย, เบลเยียม, แคนาดา, สเปน และ โปรตุเกส โดยที่เสียประตูไปเพียงแค่ลูกเดียว ซึ่งก็เป็นการทำเข้าประตูของเพื่อนร่วมทีม
อย่างไรก็ตาม ทำไมเขาถึงไม่ใช้ชื่อ บูนู และไปใช้ชื่อ โบโน แทนกันละ? ติดตามได้ที่นี่
ทำไม ยาสซีน บูนู ถึงถูกเรียกว่า โบโน?
เส้นทางที่คดเคี้ยวคือการเดินทางที่ โบโน ชื่นชอบมากที่สุดตลอดเส้นทางการค้าแข้งของเขา
มือหนึ่งของ โมร็อกโก รายนี้เกิดในเมืองมอนทรีออลกับพ่อแม่ชาวโมร็อกโก ครอบครัวของเขาย้ายไปที่คาซาบลังก้าเมื่อเขาอายุได้สามขวบ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของอาชีพนักฟุตบอลของเขา
โบโน เข้าร่วมทีม วีแดด คาซาบลังก้า ในโมร็อกโกเมื่ออายุได้ 8 ปีและลงเอยด้วยการเล่นไป 11 เกมให้กับสโมสร ก่อนที่จะฉายแววจน แอตเลติโก มาดริด มาคว้าตัวเขาไป
หลังจากย้ายมาที่สเปน เขาไม่ได้ลงเล่นชุดใหญ่ให้กับทีมตราหมีแม้แต่เกมเดียว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร เพราะในตอนนั้นสโมสรมีผู้รักษาประตูทั้ง ติโบ กูร์ตัวส์ และ แยน โอบลัค อยู่ในทีม
อย่างไรก็ตาม โบโน ถูกยืมตัวไปเล่นในลีกระดับสองของสเปน 2 ครั้ง โดยครั้งแรกเขาไปเล่นให้กับ เรอัล ซาราโกซา และจากนั้นก็มาเฝ้าเสาให้ กิโรน่า ซึ่งตอนนั้น โบโน ก็เริ่มสร้างชื่อให้กับตัวเขาได้
ซึ่งชื่อของเขาอย่าง โบโน ก็ได้มาง่าย ๆ จากการที่คำว่า บูนู และ โบโน นั้นมีส่วนที่ออกเสียงที่คล้ายกัน เขาจึงเลือกที่จะมาใช้ชื่อ โบโน แทน บูนู
แน่นอนว่าเขาพาชื่อ โบโน ของตัวเองโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นมาเรื่อย ๆ ก่อนจะมาถึงฟุตบอลโลกหนนี้
เกมที่สร้างชื่อให้กับเขาจริง ๆ ก็ต้องย้อนไปในปี 2021 โดยนัดนั้นเขาเป็นคนขึ้นมาทำประตูตีเสมอให้กับ เซบีญา ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ซึ่งก็คงมีผู้รักษาประตูไม่กี่คนบนโลกที่จะทำอะไรแบบนี้ได้
Yassine. #bounou #sevilla #uhlsport #goalkeepergloves #goal 🇲🇦 pic.twitter.com/cv56LcRdy1
— Goalkeeper Gloves (@glove_gloves) March 20, 2021
นับตั้งแต่นั้นมา เขาก็ได้เพิ่มชื่อให้เสียงให้กับตัวเองขึ้นไปอีก โดยเริ่มจากการคว้ารางวัล ซาโมรา ในฐานะผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมของ ลา ลีกา ก่อนจะตามมาด้วยการเป็นหนึ่งในฮีโร่ของ โมร็อกโก ด้วยการพาทีมเอาชนะ โปรตุเกส ได้ในรอบก่อนรองชนะเลิศ
และไม่แน่ว่าในรอบรองชนะเลิศกับ ฝรั่งเศส เขาก็อาจจะโชว์ฟอร์มได้โดดเด่นอีกครั้ง จนพาโมร็อกโก เข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศครั้งแรกก็เป็นได้ ซึ่งถ้าเป็นจริง เขาจะเป็นคนที่พลิกประวัติศาสตร์ของวงการลูกหนังไปตลอดกาล
NBA LEAGUE PASS สมัครเพื่อชมการแข่งขันเอ็นบีเอสดทุกนัดคลิก