ศึกพรีเมียร์ลีกเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาเกิดการล้มยักษ์ไป 1 คู่เมื่อ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ บุกมาชนะ เชลซี ถึงถิ่นด้วยสกอร์ 1-0 ด้วยรูปเกมที่ทำเอากองเชียร์ "สิงห์บูลส์" อึดอัดตลอด 90 นาที และเป็นความพ่ายแพ้คาบ้านนัดแรกในฤดูกาลของกุนซือ เมาริซิโอ ปอเซตติโน่
อย่างไรก็ตาม เมื่อย้อนกลับไปดูสถิติในอดีตพบว่า ฟอเรสต์ มักเล่นดีทีมยามเจอทีมใหญ่เสมอ ดังเช่นในฤดูกาลก่อนที่เลื่อนชั้นขึ้นสู่ พรีเมียร์ลีก ในฐานะน้องใหม่รอบ 23 ปี เหล่าแข้ง "เจ้าป่า" ทำผลงานยามเจอทีม Top 6 ได้ค่อนข้างหน้าพอใจโดยแบ่งเป็น ชนะ 2 เสมอ 3 แพ้ 7 ซึ่งเกมชูโรงของพวกเขาได้แก่เปิดบ้านชนะลิเวอร์พูล 1-0, เปิดบ้านชนะอาร์เซนอล 1-0 และ เปิดบ้านเสมอ แมนฯ ซิตี้ 1-1
โดยเฉพาะเชลซี บอกเลยว่า "หวานเจี๊ยบ" สำหรับฟอเรสต์
แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์
เชื่อหรือไม่ว่า น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ไม่แพ้เชลซีมา 3 เกมติดต่อกันโดยฤดูกาลที่แล้วเสมอทั้งไปและกลับด้วยสกอร์ 1-1 และ 2-2 ตามลำดับ ก่อนที่ฤดูกาลนี้จะเซอร์ไพรส์บุกชนะได้ 1-0 ด้วยแทคติกแพคเกมรับในกรอบเขตโทษตัวเองให้แน่นแล้วอาศัยจังหวะโต้กลับส่งบอลให้กองหน้าใช้ความเร็วไปยิงประตู แต่ช้าก่อน! ฟอเรสต์ ใช้วิธีการเล่นแบบนี้กับทุกทีมที่เจอกัน
เพราะนับตั้งแต่ สตีฟ คูเปอร์ เข้ามาคุมทีมแบบรับเผือกร้อนเมื่อเดือนกันยายน 2021 ตอนนั้นทีมจมอยู่บ๊วยของลีก แชมเปียนชิพ จากการคุมทีมของกุนซือคนก่อนหน้าอย่าง คริส ฮิวจ์ตัน ที่ทำผลงานแพ้ 6 เสมอ 1 คูเปอร์ ได้ประกาศในเว็บไซต์สโมสรว่าจะปรับปรุงสไตล์การเล่นของทีมโดยกระตุ้นให้นักเตะมั่นใจในการครองบอลเพื่อบุกได้มากขึ้น
ส่วนแทคติกอื่น ๆ เขากล่าวเสริมว่าจะปรับปรุงสภาพจิตใจของผู้เล่น ส่งเสริมความรู้สึกร่วมกันมากขึ้น และปลูกฝังความคิดที่ว่าผลประโยชน์ของสโมสรเป็นใหญ่กว่าผลประโยชน์ส่วนตน ซึ่งเป็นการพลิกโฉมทีมแล้วไต่ระดับมาจบอันดับ 4 ในวันสุดท้ายคว้าโควตาเพลย์ออฟเลื่อนชั้นและก็ทำได้สำเร็จในรอบชิงด้วยการชนะ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ 1-0
อย่างไรก็ดี แทคติกหลักของ คูเปอร์ ลึก ๆ แล้วเขาเน้นไปที่การยืมเกมรับแบบคุมโซนด้วยกองหลัง 3 ตัว อัดแน่นในกรอบเขตโทษแล้วอาศัยจังหวะคู่แข่งพลาดค่อยโจมตีเร็วพาบอลไปจบสกอร์ให้ได้ ซึ่งแผนนี้ใช้ได้ผลในถ้วย เอฟเอ คัพ รอบ 3 ที่เปิดบ้านชนะ อาร์เซนอล 1-0 แต่ทว่าแผนนี้กลับใช้ไม่ได้ผลในเกมเปิดบ้านแพ้ ลิเวอร์พูล 0-1 ในถ้วยเดียวกัน
นักโค่นเชลซี
แต่ทว่าแผนเด็ดนี้กลับไม่เวิร์ค 100 % เพราะฤดูกาล 2022-23 ฟอเรสต์ แพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ทั้งไปกลับ อีกทั้งผลงานยามไปเยือนทีม Top 6 ก็ห่วยบรมเพราะแพ้เกือบหมดมีเสมอ เชลซี ได้ทีมเดียว ซึ่งอาจเป็นที่เข้าใจว่าฤดูกาลที่แล้วเชลซีมีผลงานแย่มาก ๆ
ตัดภาพมาที่เกมเมื่อวานนี้ (2 กันยายน) "เจ้าป่า" ยังมาเล่นแผนเดิมที่รับรอสวนกลับด้วยกองหลัง 3 ตัวพร้อมแข้งตัวตึงอย่าง ไตโว ไอโวนียี่ กองหน้าที่มีทั้งความเร็ว ความแข็งแกร่งและความคม ซึ่งวิธีการเล่นนี้เห็นภาพชัดเจนสุดในประตูขึ้นนำ 1-0 ในเกมที่พวกเขาบุกแพ้ "ปีศาจแดง" 2-3
ทว่ากับเชลซี เป็นทางฝั่งแข้ง "สิงห์บูลส์" ที่ทำพลาดเองโดย มอยเซส ไคเซโด จับบอลลั่นแล้วถูก ไอโวนียี่ ฉกบอลไปได้แล้วไหลให้ แอนโทนี่ เอแลงก้า หลุดเข้าไปยิงนิ่ม ๆ และเป็นประตูชัยให้ทีมคว้า 3 แต้ม
จากนั้นก็เข้าสูตรตำรามหาอุตม์ที่ ฟอเรสต์ ช่ำชองเพราะหลังยิงประตูได้ในนาทีที่ 48 พวกเขาก็ลงไปแพคแน่นในเขตโทษแล้วรอจังหวะดี ๆ บิลด์อัพบอลขึ้นมาโดยใช้ความเร็วของ ไอโวนียี่ กับ เอแลงก้า เผาเครื่องกองหลังเชลซีซึ่งก็ทำได้ผลบ้าง
หรือมันเป็นความผิดของเชลซี?
ทั้งนี้หากชื่นชม ฟอเรสต์ ว่าเล่นดีฝ่ายเดียวก็ดูไม่ค่อยยุติธรรมเพราะการเล่นของ เชลซี ในวันนี้ก็มีส่วนทำร้ายตัวเองซึ่งประเด็นหลักที่เลี่ยงไม่ได้คือการยังไม่เข้าขาของนักเตะที่ซื้อมาเยอะมากเกินความจำเป็นแถมยังต้องลงเล่นโดยแทบไม่มีเวลาทำความเข้าใจกับแทคติก ดังเช่น ไคเซโด ที่วันนี้ฟอร์มไม่ออกแถมยังเป็นคนทำพลาดจนทีมเสียประตู และ โคล พาลเมอร์ ที่เพิ่งย้ายมาได้วันเดียวก็ต้องลงเล่นแล้ว
ประเด็นต่อมาที่น่าเห็นใจคือ เกมนี้เป็นอีกหนึ่งเกมนี้ผู้เล่นหลายคนโชว์ฟอร์มไม่ออกเช่น นิโคลัส แจ๊คสัน ที่ได้ยิงโล่ง ๆ แต่ซัดข้ามคาน หรือ โนนี่ มาดูเอเก้ ที่ทำความอันตรายใด ๆ ไม่ได้ ขณะที่กุนซืออย่าง ปอเชตติโน่ เองก็มีส่วนพลาดส่ง มิไคโล มูดริก ลงสนามเพื่อมาเสริมเกมรุกแต่ทว่ากลับเป็นการทำลายทุกสิ่งเพราะปีกชาวยูเครน เลี้ยงบอลมั่วไปหมดตลอด 20 นาทีที่ลงมา กลายเป็นเพิ่มภาระให้ทีม
เราอาจสรุปได้ว่าผลชนะของ ฟอเรสต์ เกิดขึ้นจากหลายปัจจัยมารวมกันทั้งแทคติกของพวกเขาเอง ประกอบกับความโชคร้ายของเชลซีที่ดันมาฟอร์มตกกันทั้งทีมซึ่งมันดันไปเข้าทางฝั่ง ฟอเรสต์ หมดทุกอย่าง แต่ไม่แน่ว่าในอนาคต เชลซี อาจทำลายอาถรรพ์ไม่ชนะ "เจ้าป่า" ได้ในสักวันแน่นอน
ร่วมสมัครเล่นเกมฟุตบอลลุ้นไปชมพรีเมียร์ลีกถึงอังกฤษได้ที่นี่
