เหตุผลที่แตกต่าง : ทำไม 'เซลติก' ไม่ไว้อาลัยให้ควีนเอลิซซาเบธที่ 2

The Sporting News

เหตุผลที่แตกต่าง : ทำไม 'เซลติก' ไม่ไว้อาลัยให้ควีนเอลิซซาเบธที่ 2 image

การจากไปของสมเด็จพระราชินีเอลิซซาเบธที่ 2 ถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของสหราชอาณาจักร และนำมาซึ่งการไว้อาลัยของคนจำนวนมาก รวมถึงสโมสรฟุตบอลทั่วสหราชอาณาจักร

แต่มีสโมสรหนึ่งที่ไม่สนใจ และไม่ขอร่วมอาลัยกับการจากไปในครั้งนี้ นั่นคือ กลาสโกว์ เซลติก สโมสรชั้นนำจากสกอตแลนด์

ยอดทีมจากสกอตแลนด์มีปัญหาอะไร ถึงไม่สนใจร่วมอาลัยให้กับราชินีเอลิซซาเบธที่ 2 ผู้ล่วงลับ ติดตามได้ที่นี่ 

สโมสรของชาวไอริชผู้ไม่ภักดี

หากถามว่าความไม่พอใจที่แฟนบอลกลาสโกว์ เซลติก มีต่อราชวงศ์อังกฤษเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อใด ? คำตอบคือเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรเลยก็ว่าได้ เพราะหากย้อนกลับไปยังปี 1887 อันเป็นจุดเริ่มต้นของสโมสรดังแห่งสกอตแลนด์ จุดประสงค์หลักในการตั้งทีมฟุตบอลแห่งนี้มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือเพื่อเปิดโอกาสให้แรงงานอพยพชาวไอริชได้หลบหนีจากความยากจนที่พวกเขาเผชิญอยู่ในชีวิตประจำวัน

กลาสโกว์ เซลติก จึงถือเป็นทีมที่มีจิตวิญญาณของชาวไอริชเข้มข้นมาตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อสโมสรและโลโก้ทีมในยุคแรกซึ่งเป็นตรากางเขนแห่งเซลติก ภาพของแฟนบอลที่พร้อมใจกันชูธงสามสีของประเทศไอร์แลนด์ถือเป็นเรื่องที่พบเห็นได้เป็นปกติในสนามเซลติก พาร์ค

ทางกลับกัน ความภาคภูมิใจที่พวกเขาได้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศอันยิ่งใหญ่อย่างสหราชอาณาจักร กลับเจือจางมากในหมู่แฟนบอลของเซลติก ภาพของแฟนบอลชูธงยูเนี่ยนแจ็คอย่างเต็มใจ จะสามารถพบเห็นได้ในหมู่แฟนกลาสโกว์ เรนเจอร์ส อันเป็นทีมคู่ปรับตลอดกาลของพวกเขา

ความขัดแย้งของเซลติกและเรนเจอร์สจึงไม่ได้จำกัดเพียงเรื่องของศาสนาเหมือนที่หลายคนพยายามอธิบายให้เข้าใจโดยง่าย (แฟนเซลติกส่วนใหญ่คือผู้นับถือคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ส่วนแฟนเรนเจอร์สคือผู้นับถือคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์) แต่เป็นเรื่องของเชื้อชาติที่แตกต่างกันระหว่างผู้คนในเมืองกลาสโกว์

ความชิงชังต่อสหราชอาณาจักรจึงแฝงตัวอยู่ในหมู่แฟนเซลติกตั้งแต่ต้น และถ้าหากจะมีบางอย่างในสหราชอาณาจักรที่บรรดาผู้อพยพชาวไอริชในสกอตแลนด์ให้ความนิยมอยู่บ้าง สิ่งนั้นคือ “พรรคแรงงาน” พรรคการเมืองฝ่ายซ้ายที่มีนโยบายเอาใจชนชั้นแรงงานและชาวรากหญ้าในสหราชอาณาจักร และก็อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าสโมสรกลาสโกว์ เซลติก ก่อตั้งขึ้นเพื่อให้เหล่าแรงงานไอริชบรรเทาความเจ็บปวดจากภาวะยากจน

แฟนบอลส่วนใหญ่ของเซลติกจึงให้การสนับสนุนพรรคแรงงาน และแสดงจุดยืนต่อต้าน “พรรคอนุรักษ์นิยม” พรรคการเมืองฝ่ายขวาที่มีนโยบายรักษาสภาพสังคมให้คงสภาพแบบที่เคยเป็นอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือการรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มชนชั้นนำในสังคม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ใครก็ตามที่แฟนเซลติกรู้สึกเป็นอภิสิทธิ์ชนคอยรับผลประโยชน์จากสังคมรูปแบบเก่า จะโดนหางเลขถูกเกลียดตามไปด้วย

ราชวงศ์อังกฤษอันถือเป็นหนึ่งในศูนย์กลางความเชื่อสำคัญของสังคมอนุรักษ์นิยมในสหราชอาณาจักร จึงถูกชิงชังโดยแฟนบอลเซลติกอย่างไม่ต้องสงสัย แม้ในช่วงเวลาแรกเริ่มของสโมสรแห่งนี้ เกาะไอร์แลนด์ทั้งหมดจะถือเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร และกษัตริย์หรือราชินีแห่งราชวงศ์อังกฤษจะถือเป็นประมุขของพวกเขาโดยตรง

แต่แฟนบอลเซลติกไม่เคยลังเลที่จะแสดงความไม่พอใจต่อเหล่าผู้สูงศักดิ์ เพราะพวกเขาคิดว่าคนเหล่านี้ไม่เพียงกอบโกยผลประโยชน์จากเบื้องบน แต่ยังเป็นเสาหลักสำคัญที่ทำให้ชนชาติบนเกาะบริเตนใหญ่ได้โอกาสกดขี่ชาวไอริชตลอดมาในช่วงทศวรรษที่ 19

เมื่อความเปลี่ยนแปลงมาถึงในปี 1919 ที่สาธารณรัฐไอร์แลนด์ประกาศตัวเป็นเอกราชจากสหราชอาณาจักร นี่จึงถือเป็นจุดพลิกผันที่ทำให้ความรู้สึกของแฟนบอลเซลติกกับราชวงศ์อังกฤษแตกหักอย่างไม่มีวันหวนกลับ เพราะหลังจากเป็นต้นมา กระแสนิยมสหราชอาณาจักรในไอร์แลนด์ได้ถูกปลุกขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม จนนำมาสู่สงครามการเมืองที่ทำให้มือของชาวไอริชต้องเปื้อนเลือดชาวไอริชด้วยกันเอง

บาดแผลที่ประมุขอังกฤษต้องรับผิดชอบ

การประกาศเอกราชของสาธารณรัฐไอร์แลนด์ในปี 1921 ไม่ได้ก่อให้เกิดรัฐใหม่เพียงรัฐเดียว แต่ยังนำมาสู่การถือกำเนิดของไอร์แลนด์เหนือ รัฐที่ครอบครองพื้นที่ตอนบนของเกาะไอร์แลนด์ และยังถือเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร โดยประชากรส่วนใหญ่ในดินแดนแห่งนี้จะนับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์เช่นเดียวกับผู้คนบนเกาะบริเตนใหญ่ ส่งผลให้หลายคนแบ่งความขัดแย้งระหว่างไอร์แลนด์กับไอร์แลนด์เหนือเป็นเรื่องของศาสนา แม้ความจริงจะไม่ใช่แบบนั้น

ความเชื่อหลักที่แบ่งแยกชาวไอร์แลนด์และไอร์แลนด์เหนืออกจากกันอย่างแท้จริงคือ “ความจงรักภักดีต่อสถาบันและราชวงศ์” โดยนอกจากฝ่ายสนับสนุนสหราชอาณาจักรจะถูกเรียกว่า “Unionists” แล้ว ยังมีอีกคำที่ใช้เรียกชาวไอริชผู้ภักดีต่อสหราชอาณาจักรว่า “Royalists” หรือ “กลุ่มนิยมเจ้า” ขณะที่ฝ่ายชาตินิยมไอริชจะเรียกตัวเองว่า “Republicans” หรือ “กลุ่มนิยมสาธารณรัฐ” ซึ่งแสดงออกถึงจุดยืนที่ตรงข้ามราชวงศ์อย่างชัดเจน

ทันทีที่เกิดการแบ่งแยกเกาะไอร์แลนด์เป็นสองดินแดน ความฝันสูงสุดของกลุ่มชาตินิยมไอริชจึงหนีไม่พ้นการได้เห็นไอร์แลนด์เหนือแยกตัวออกจากสหราชอาณาจักร และกลับมาเป็นหนึ่งเดียวกับไอร์แลนด์อีกครั้ง ซึ่งท้ายที่สุดแนวคิดนี้ได้นำมาสู่ความขัดแย้งอันมีชื่อว่า เดอะ ทรับเบิลส์ (The Troubles)

เหตุการณ์ความไม่สงบในไอร์แลนด์เหนือระหว่างช่วงทศวรรษ 1960s-1990s ที่มีสาเหตุจากความเคลื่อนไหวของกลุ่มไอริช รีพลับลิกัน อาร์มี่ (Irish Replublican Army) หรือ IRA กลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่ต้องการให้ไอร์แลนด์เหนือเป็นอิสระจากสหราชอาณาจักร

แม้การเคลื่อนไหวของ IRA จะสร้างความไม่สงบและความขัดแย้งไปทั่วสหราชอาณาจักร แต่คนหนึ่งกลุ่มที่มองพวกเขาเป็นฮีโร่คือแฟนบอลกลาสโกว์ เซลติก ที่มองว่ากลุ่มแบ่งแยกดินแดนนี้คือผู้กล้าที่จะทำให้ความฝันสูงสุดของชาวไอริชเป็นจริง แฟนบอลเซลติกจึงยกย่องกลุ่ม IRA มาก จนถึงกับมีการร้องเพลงและส่งเสียงเชียร์กลุ่มแบ่งแยกดินแดนนี้ขณะเกมฟุตบอลทำการแข่งขัน

โชคร้ายของแฟนเซลติกและกลุ่มไอริชชาตินิยมที่ความฝันของพวกเขาไม่เคยเป็นจริง เพราะไอร์แลนด์เหนือยังคงภักดีจ่อราชวงศ์อังกฤษและสหราชอาณาจักรถึงปัจจุบัน ซ้ำร้ายความขัดแย้ง เดอะ ทรับเบิลส์ ยังสร้างความบอบช้ำอย่างหนักแก่ชาวไอริช โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์วันอาทิตย์ทมิฬ (Bloody Sunday) ในปี 1972 ที่ทหารบริติชสังหารผู้บริสุทธิ์ชาวไอริชเสียชีวิต 14 ราย แม้ปราศจากท่าทีคุกคามต่อเจ้าหน้าที่

เหตุการณ์เศร้าที่เกิดขึ้นคราวนั้นนำมาสู่ความเคียดแค้นที่ยากจะลืมเลือนของชาวไอริช และถึงแม้จะมีการแสดงออกที่รุนแรงมากมายเพื่อตอบโต้การกระทำดังกล่าว (เช่น การเผาสถานทูตบริติชในกรุงดับลิน) แต่มีคนมากมายยังจดจำความเจ็บช้ำที่ชาวไอริชถูกเหยียบย่ำโดยสหราชอาณาจักรจนถึงทุกวันนี้

แฟนบอลกลาสโกว์ เซลติก คือหนึ่งในนั้น และบุคคลที่เขาคิดว่าควรมีส่วนรับผิดชอบในเหตุการณ์นี้มากที่สุดคนหนึ่งคือ ควีนเอลิซาเบธที่ 2 ผู้ซึ่งไม่เพียงต้องรับผิดชอบทุกการกระทำของเจ้าหน้าที่สหราชอาณาจักรในฐานะประมุขของรัฐ แต่ยังเป็นศูนย์กลางความเชื่อที่ยึดเหนี่ยวให้ชาวไอริชจงรักภักดีกับสหราชอาณาจักร และขัดขวางไม่ให้เกิดการรวมชาติของไอร์แลนด์อย่างที่เห็นในปัจจุบัน

ความเจ็บปวดที่ไม่อาจให้อภัย

นับจากวันนั้นเป็นต้นมา แฟนบอลกลาสโกว์ เซลติก จึงแค้นฝังหุ่นต่อควีนเอลิซาเบธที่ 2 และสมาชิกราชวงศ์อังกฤษอย่างยาวนาน โดยในการแข่งขันระหว่างเซลติกและเรนเจอร์ส แฟนเซลติกมักมีการเขียงข้อความที่แสดงถึงการต่อต้านพลังอำนาจของสหราชอาณาจักร เช่น “พวกเขาเป็นคนแขวนธงแห่งสงคราม” หรือ “พวกเราไม่มีวันพ่ายแพ้”

ขณะเดียวกัน แฟนบอลของเรนเจอร์สมันแสดงออกให้เชิงแสดงความจงรักภักดีต่อราชวงศ์อังกฤษอยู่เสมอ ทั้ง การเขียนป้ายแสดงความยินดีต่อการอภิเษกสมรสของเจ้าชายวิลเลียม กับ เคต มิดเดิลตัน หรือ การชูธงยูเนี่ยนแจ็คที่มีภาพของควีนเอลิซาเบธที่ 2 และที่มากไปกว่านั้นคือการแขวนรูปของควีนเอลิซาเบธที่ 2 ไว้ในห้องแต่งตัวของนักเตะเรนเจอร์ส

เมื่อศัตรูตลอดกาลแสดงความยินดีปรีดาต่อควีนเอลิซาเบธที่ 2 เสียขนาดนี้ ก็ไม่มีเหตุผลที่แฟนเซลติกจะต้องแสร้งเป็นรักประมุขแห่งสหราชอาณาจักรอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ การส่งเสียงโห่ต่อเพลง God Save the Queen เพลงชาติของสหราชอาณาจักรจึงเป็นเรื่องปกติของแฟนเซลติก และการแขวนป้ายเพื่อโจมตีควีนเอลิซาเบธที่ 2 อย่างรุนแรง เช่นคำว่า “FTQ” (ย่อมาจาก F*** the Queen) ยังพบเห็นได้บ่อยครั้งในเกมดาร์บี้แมตช์กับเรนเจอร์ส

ด้วยเหตุนี้ จึงถือไม่ใช่เรื่องพลิกล็อกอะไรที่กลาสโกว์ เซลติก จะเป็นสโมสรเดียวในสหราชอาณาจักรที่ไม่แสดงความอาลัยต่อการจากไปของควีนเอลิซาเบธที่ 2 มันเป็นเรื่องปกติจนถึงขนาดว่ามีเพจกีฬาต่างประเทศบางแห่งนำมาหยอกแบบขำ ๆ ด้วยซ้ำว่า สโมสรใดคือหนึ่งทีมที่ยังคงไม่เปลี่ยนโลโก้เป็นสีขาวดำแบบทีมอื่น ? นั่นเพราะทุกคนรู้คำตอบอยู่แล้วว่าต้องเป็นกลาสโกว์ เซลติก อย่างแน่นอน

การแสดงออกของสโมสรกลาสโกว์ เซลติก อาจจะดูหัวรุนแรงและไม่รู้จักกาลเทศไปบ้างในสายตาของใครหลายคน (บางสโมสรมีแฟนไม่สนับสนุนสถาบัน แต่ยังโพสต์ไว้อาลัย เช่น ลิเวอร์พูล) แต่หากมองในมุมของแฟนเซลติก นี่คงเป็นการแสดงออกที่จริงใจและซื่อตรงกับจุดยืนความเป็นไอริชของพวกเขามากที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้ครั้งหนึ่ง

ไม่ว่าใครจะมองการกระทำครั้งนี้ของสโมสรกลาสโกว์ เซลติก อย่างไร เราคงต้องยอมรับว่าพวกเขาคงไม่สามารถฝืนตัวเอง และแสดงความอาลัยแก่บุคคลที่พวกเขาไม่เคยรักมาตลอดทั้งชีวิต นี่จึงเป็นเรื่องราวที่แสดงให้เห็นว่าความไม่พอใจที่แฟนบอลกลาสโกว์ เซลติก มีต่อควีนเอลิซาเบธที่ 2 ไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคล แต่สะท้อนถึงปัญหาที่เกิจากภูมิหลังทางเชื้อชาติ และความขัดแย้งทางการเมืองโดยแท้จริง

The Sporting News

The Sporting News Photo

Beyond the score: The sports world explained. The Sporting News has been a trusted sports media publisher since 1886, delivering the news, insights and entertainment that fans around the world need to know.