ข่าวการปลด สตีฟ แนช ของบรู๊คลิน เน็ตส์ ถือเป็นข่าวใหญ่ในวงการ NBA ช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ก็ว่าได้ จากที่ช่วงต้นซีซั่น
เควิน ดูแรนท์ สตาร์ตัวหลักของทีมเคยออกมางัดกับบอร์ดของเน็ตส์ ว่าจะเลือกใคร ระหว่างตัวเขา กับสตีฟ แนช ซึ่งในครั้งนั้น โจเซฟ ไช่ มหาเศรษฐีชาวฮ่องกง-แคนาดา ยืนยันเสียงแข็งว่าจะสนับสนุนฝั่งแนช หากดูแรนท์ไม่พอใจก็ย้ายได้เลย
ซึ่งในตอนนั้น ดูแรนท์ก็พร้อมที่จะย้าย แต่กลับไม่มีทีมไหนกล้าเทรดเขาไปร่วมทีม จึงทำให้ดูแรนท์ต้องกลับเข้าแคมป์มาอย่างเขิน ๆ พร้อมให้สัมภาษณ์ว่าเคลียร์ทุกอย่างลงตัวแล้ว และพร้อมสู้กับทีมต่อไป นี้ถือว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดของทั้ง2ฝ่าย
แต่แล้วจากผลงาน ลงสนาม 7 เกม ชนะแค่ 2 แต่แพ้ไป 5 ทีมร่วงมาอยู่อันดับ 12 จาก 15 ทีมของสายตะวันออก ก็ทำให้การปลดสตีฟ แนช เกิดขึ้นในทันที
อีกทั้งยังไม่รวมเรื่องของ แคนดิเดตที่จะมารับไม้ต่อจากแนช นั้นคือ อีเม อูโดก้า อดีตเฮดโค้ชผู้พาเซลติก ทะลุไปถึงรอบชิงชนะเลิศได้ในซีซั่นที่ผ่านมา แต่กลับโดนปลดช่วงก่อนเปิดซีซั่นไม่กี่วัน จากเหตุที่ อูโดก้า ไปมีความสัมพันธ์ชู้สาวกับสต๊าฟหญิงในทีม ทั้ง ๆ ที่ทั้งคู่มีครอบครัวอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นอูโดกามาจริง ก็น่าจะเข้าแก๊ปของ เควิน ดูแรนท์ ที่ต้องการโค้ชที่มีประสบการณ์และเหตุการณ์ที่งัดกับแนชในช่วงต้นซีซั่นเพราะ ดูแรนท์มองว่าแนช “ยังมือไม่ถึง”… แต่คำถามคือทีมจะไดร์ฟขึ้นไปได้ดีกว่านี้จริงๆหรือ?
หากมองจากภายนอก ต้องบอกว่า บรู๊คลิน เน็ตส์ เป็นทีมรวมดาวที่มีศักยภาพการทำลายล้างสูงเลยทีเดียวมีทั้ง เควิน ดูแรนท์ เจ้าของแชมป์ NBA 2 สมัย 2017,2018 และยังเป็นเจ้าของ MVP Finals ถึง 2 สมัย ติดทีม ALL Stars 12 สมัย และเป็น MVP All Stars อีก 2 สมัย
ไครี เออร์วิง ก็แชมป์ NBA 1 สมัย ติดทีม ALL Starts อีก 7 สมัย รวมถึง เป็น MVP All Stars 1 ครั้งในปี 2014
รวมถึง เบน ซิมมอนส์ ที่เฉิดฉายเหลือเกินกับลีลาการแอสซิสต์อย่างเหนือชั้นตั้งแต่เข้าลีกมาในปี 2016 กับ ฟิลาเดลเฟีย เซเว่นตี้ซิกเซอร์ส ซึ่งฟอร์มดังกล่าว…ถึงแม้สถิติการยิงฟิลโกลด์จะไม่สวยงามนักแต่ฟอร์มของเขาก็พอที่จะทำให้ติดทีม ALL Stars ถึง 3 สมัยด้วยกันตั้งแต่ปี 2019-2021
แต่จากผลงานในปีที่แล้ว ถึงแม้ว่าเบน ซิมมอนส์ จะยังไม่สามารถลงสนามช่วยทีมได้เลยตั้งแต่ย้ายมา แต่ เน็ตส์ ก็จบอันดับที่ 7 ของตารางคะแนนโซนตะวันออกได้สิทธิ์เพลย์อิน และพวกเขาก็คว้าไว้ได้ด้วยการเอาชนะคลีฟแลนด์ คาวาเลียส์ 115-108 ผ่านเข้า คว้าสิทธิ์เข้าเพลย์ออฟ ในฐานะทีมอันดับ 7 ของสายตะวันออก ไปเจอกับ บอสตัน เซลติก และผลก็เป็นอย่างที่ทราบกัน เน็ตส์ โดนบอสตัน เล่นงาน 4-0 เกม ตกรอบไปดื้อ ๆ ทั้ง ๆ ที่ฝ่าฟันมากว่าจะถึงรอบนี้
แต่หากจะวิเคราะห์กันจริง ๆ ทำให้มีคำถามเกิดขึ้นว่า ปัญหาที่แท้จริงเกิดขึ้น เพราะเน็ตส์ “ไม่มีผู้นำ” หรือเปล่า ?
แม้ว่าจะมีทั้งดูแรนท์ และไครี จะผ่านประสบการณ์คว้าแชมป์ NBA มาทั้งคู่ และก็เป็นผู้เล่นระดับ All Stars ที่เฉิดฉายใน NBA มาอย่างยาวนาน
แต่หากเจาะลึกลงไป ทั้ง เควิน ดูแรนท์ และ ไครี เออร์วิง ในช่วงเวลาที่พวกเขาประสบความสำเร็จ……ทั้งคู่ไม่ใช่ผู้นำทีมที่พาทีมเป็นแชมป์ด้วยตัวเขาเองแบบร้อยเปอร์เซนต์
ย้อนไปที่แชมป์ของ ไครี เออร์วิง กับคลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส ที่เรียกได้ว่าเป็นการสร้างปาฎิหาริย์ พลิกจากตาม 1-3 เกมมาคว้าแชมป์ด้วยการปิดซีรีส์เหนือ โกลเด้น สเตท วอร์ริเออร์ส 4-3 เกม
แน่นอน ไครีมีส่วนสำคัญ แต่ผู้นำทีมในตอนนั้นของ คลีฟแลนด์คือ “เลบรอน เจมส์” ซึ่งหลังจากแยกทางกับเจมส์ ไปอยู่กับบอสตัน ก็เรียกได้ว่าไครีล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ก่อนที่จะย้ายมาซบ บรู๊คลิน เน็ตส์ ในปี 2019
ส่วน 2 แชมป์ของ เควิน ดูแรนท์ กับ โกลเด้น สเตท วอร์ริเออร์ส ในปี 2017 และ 2018 ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า ดูแรนท์ มีส่วนสำคัญกับทีมมาก ๆ ในการคว้าแชมป์ จากรางวัล MVP Finals ทั้ง 2 สมัยที่ได้แชมป์ แต่ผู้นำทีมในตอนนั้นของ วอร์ริเออร์ส ก็คือ สเตฟเฟ่น เคอร์รี่ และเพื่อนยังมียอดนักบาส ทั้ง 2 คือ เคลย์ ธอมป์สัน และ เดรมอน กรีน
เมื่อคว้าแชมป์ได้กับทีมแล้ว ทั้งสองคนก็มีเส้นทางคล้าย ๆ กันคือต้องการที่จะออกจากร่มเงาของผู้นำทีมตัวหลัก ณ ขณะนั้น และต้องการสร้างทีมใหม่ที่มีตัวเขาทั้งคู่เป็น ศูนย์กลางนั้นคือ บรู๊คลิน เน็ตส์
แต่จนถึงวันนี้ผลงานของทั้งคู่ที่ออกมา หนักไปทางข่าวฉาวนอกสนามเสียมากกว่าเริ่มจากช่วงโควิดระบาดอย่างหนัก ไครี เออร์วิง ยืนยันอย่างหนักแน่นว่าจะไม่ฉีดวัคซีน ซึ่งผลก็คือเขาไม่สามารถช่วยทีมในเกมเหย้าได้เลย เพราะกรุงนิวยอร์กในตอนนั้น บังคับให้ผู้ที่จะเข้าร่วมกิจกรรมในร่ม ทั้งการทำงาน หรือการแข่งขันกีฬาต้องฉีดวัคซีนทั้งหมด กว่าจะมาผ่อนปรนก็เกือบจะปลายซีซั่นอยู่แล้ว
ขณะที่ เค.ดี ในช่วงที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าจะทำผลงานได้ดี แต่ก็ยังไม่เคยแสดงความเป็นผู้นำออกมาเลย และเมื่อดูทรงเหมือนเรือจะล่ม ก็ยื่นคำขาดกับเจ้าของทีมให้เลือกเขากับเฮดโค้ช สตีฟ แนช ซะอย่างนั้น
ยังไม่รวมถึง เบน ซิมมอนส์ ที่เพิ่งย้ายมาจาก ซิกเซอร์ส เหตุเพราะน้อยใจแฟนฟิลาเดลเฟีย ที่ไปโบ๊ยว่าเขาเป็นสาเหตุหลักที่ทำทีมตกรอบเพลย์ออฟ และตั้งแต่ย้ายมาก็มีทั้งปัญหาอาการบาดเจ็บที่แผ่นหลัง รวมถึง ปัญหาสภาพจิตใจที่ไม่พร้อมเลยกว่าจะลงช่วยทีมได้ ก็ต้องรอให้เปิดซีซั่นนี้ และก็อย่างที่เห็นฟอร์มยังไม่เข้าที่เข้าทาง และยังห่างไกลกับช่วงที่เขาเข้าลีกใหม่ ๆ ยิ่งนัก
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ต้องบอกว่า ซีซั่นนี้ จะเป็นเครื่องพิสูจน์ พวกเขาอย่างแท้จริงว่าพวกเขาคือผู้เล่นระดับ เอ-คลาส จริง ๆ หรือไม่ เพราะไม่มีเหตุผลอะไรให้อ้างอีกแล้ว
โค้ชก็เปลี่ยนแล้ว อยู่ที่ว่าจะเป็นอูโดก้าตามคาดหรือไม่, โควิดก็ไม่มีการระบาดมาให้กังวล หากเน็ตส์ยังไปไม่ได้ไกลกว่าเพลย์ออฟรอบแรก ก็น่าจะชัดเจนว่า พวกเขาก็อาจจะเป็นแค่ ผู้เล่นระดับ เอ-คลาส ที่สมควรจะรับบทพระรองมากกว่า
และเป็นการยืนยันอีกว่า การเลือกทั้งสามคนมาเป็นศูนย์กลางของทีม คือเรื่องที่บอร์ดบริหารของเน็ตส์ คิดผิดอย่างมาก จนทำให้แฟรนไชส์เสียโอกาสทองที่จะคว้าแชมป์ NBA ไปในที่สุด
NBA LEAGUE PASS สมัครเพื่อชมการแข่งขันเอ็นบีเอสดทุกนัดคลิก