ทำลายทุกอคติ: เหตุผลที่เป็นนักกีฬาระดับโลก ก็เรียนวิชาการเก่งขั้นเทพได้

Nuttanon Chankwang

ทำลายทุกอคติ: เหตุผลที่เป็นนักกีฬาระดับโลก ก็เรียนวิชาการเก่งขั้นเทพได้ image

“เรียนไม่เก่งเลยต้องไปเล่นกีฬา” “เล่นกีฬาทำไม เอาเวลาไปเรียนหนังสือดีกว่า” คำเหล่านี้เหมือนค่านิยมของสังคมไทยที่มักด้อยค่านักกีฬาว่าต้องเป็นพวกเรียนไม่เอาไหน และต้องหันไปเล่นกีฬาเพื่อเอาตัวรอด 

อย่างไรก็ตาม นั่นคือความคิดที่ผิดอย่างชัดเจน เพราะที่ต่างประเทศมีนักกีฬามากมายที่เป็นอัจฉริยะด้านวิชาการ แต่พวกเขายอมทิ้งเส้นทางที่จะเป็นหมอ, วิศวกร หรือทนายความ เพื่อตามฝันของตัวเองที่สำคัญกว่า 

The Sporting News จะพาทุกท่านไปพบกับข้อเท็จจริงว่า เหตุใดนักกีฬาสามารถที่จะเป็นสุดยอดด้านวิชาการได้เหมือนกัน ไม่ได้มีดีแค่การใช้พละกำลังเสมอไป

หยุดความคิดเดิม ๆ 

ไม่ใช่เรื่องแปลกหากคนไทยจะเชื่อว่า คนที่เล่นกีฬาเป็นคนที่เรียนไม่เก่ง เพราะในอดีตเคยเป็นแบบนั้นจริง ๆ เด็กหลายคนที่ไปไม่รอดในสายการเรียนด้านวิชาการ หรือบางคนที่บ้านยากจนไม่มีงบประมาณมากพอที่จะเรียนในระดับมหาวิทยาลัย มักจะเลือกเบนเข็มชีวิตมาเป็นนักกีฬา เพื่อเป็นอีกทางหนึ่งที่จะหาทางรอดให้ชีวิต 

ยิ่งในช่วงก่อนเข้ายุค 2000s ยิ่งชัดเจน หากไม่นับสหรัฐอเมริกาที่บังคับให้กีฬาเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาอย่างเต็มตัว นักกีฬาส่วนใหญ่มักไม่สนใจเรื่องวิชาการเท่าไหร่นัก เพื่อทุ่มเทให้กับการเล่นกีฬา ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดอะไร หลายคนก็ประสบความสำเร็จจากการทุ่มเวลาทั้งหมดอยากเต็มที่ให้กับการเล่นกีฬา

Maradona

อย่างไรก็ตามเมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 โลกการศึกษาตัดสินใจเปิดรับกีฬามากขึ้น เพราะมองเห็นถึงผลประโยชน์ที่แท้จริงหากสามารถถึงศาสตร์ด้านวิชาการ กับกีฬา เข้ามาผสานกันได้อย่างลงตัว 

เนื่องจากในยุคหลังมีงานวิจัยที่ชัดเจนว่า หากนักกีฬาเข้าสู่มหาวิทยาลัยจะช่วยให้พวกเขาเป็นนักกีฬาที่ดีกว่านักกีฬาที่ไม่ได้เรียนในระดับมหาวิทยาลัย ด้วยเหตุผลสำคัญที่ว่า หากนักกีฬาได้เรียนหนังสือมากขึ้น มีความรู้ต่าง ๆ มากขึ้น พวกเขาจะรอบรู้อะไรหลายอย่าง และนำมาประยุกต์ใช้กับการเป็นนักกีฬาได้ดีขึ้น

เรื่องของอาการบาดเจ็บกลายเป็นประเด็นสำคัญ เพราะมีแนวโน้มว่านักกีฬาที่เรียนในระดับมหาวิทยาลัย (หมายถึงคนที่เข้าเรียนจริง ๆ) จะสามารถรับมือกับปัญหาอาการบาดเจ็บได้ดีกว่า นักกีฬาที่ไม่ได้เข้าห้องเรียนในระดับนี้ เนื่องจากนักกีฬาที่เรียนในระดับมหาวิทยาลัยจะได้รับความรู้ที่หลากหลายแง่มุมมากกว่านักกีฬาปกติ ไม่ใช่แค่เรื่องการรักษาร่างกายของตัวเอง หรือวิธีการรักษาจากอาการบาดเจ็บเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการรับมือชีวิตหลังจากเป็นนักกีฬาได้ดีมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเส้นทางที่จบไวเนื่องจากไปไม่ถึงฝั่งฝันเพราะอาการบาดเจ็บหรือด้วยเหตุผลอื่นก็ตาม

หมุดหมายสำคัญที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงคือโอลิมปิก 2016 ที่ประเทศบราซิล เพราะนั่นคือครั้งแรกที่มหกรรมกีฬาของมวลมนุษยชาติ มีนักกีฬาที่ยังเรียนหนังสืออยู่เข้าร่วมการแข่งขันมากกว่านักกีฬาที่ไม่ได้อยู่ในสถานะเรียนหนังสือ

มีหลักฐานที่ชี้ชัดว่านักกีฬาในยุคปัจจุบันไม่สามารถทิ้งเรื่องการเรียนได้เลย แน่นอนว่าการมองเหล่านักกีฬาเป็นคนที่ไม่มีความรู้ด้านวิชาการเป็นความคิดที่ตกยุคไปแล้ว เพราะพวกเขาได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดีเช่นกัน ในทางตรงกันข้ามพวกเขาทำงานหนักกว่านักศึกษาปกติด้วยซ้ำ เพราะต้องทุ่มเทให้กับทั้งการเรียน และการกีฬา 

Getty

กีฬาดี การเรียนเด่น

แน่นอนว่าทุกวันนี้เราไม่สามารถแยกเรื่องเรียนออกจากนักกีฬาได้แล้ว เพราะอย่างที่เราบอกไปว่าการมีความรู้ทางวิชาการที่ดี ยิ่งทำให้พวกเขาเป็นนักกีฬาที่ดียิ่งขึ้น 

นอกจากที่นักกีฬาซึ่งมีความรู้ที่โดดเด่น สามารถที่จะจัดการชีวิตเผชิญหน้าปัญหาอาการบาดเจ็บได้ดีแล้ว พวกเขายังสามารถจัดการความเครียดกับการเป็นนักกีฬาได้ดีมากยิ่งขึ้น เพราะไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าขณะที่การเรียนในห้องเรียนเป็นฝันร้ายของใครหลายคน การเรียนหนังสือกลับเป็นสิ่งที่ช่วยให้นักกีฬาสามารถบรรเทาความเครียดจากการแข่งขันได้ดีอย่างมาก

ประการแรกคือการเรียนช่วยให้นักกีฬาลืมทุกอย่างในการแข่งขัน โยนความเครียดที่เกิดขึ้นออกจากหัว และโฟกัสกับเรื่องอื่นแทน 

“นักกีฬายุคใหม่มีชีวิตที่เครียดมาก ความกดดันของพวกเขามันมหาศาล พวกเขาต้องอยู่ในระเบียบวินัยที่เข้มงวดมาก ชีวิตโดนควบคุมบงการจากหลายอย่าง แถมยังต้องทำผลงานให้ออกมาดีเท่านั้นอีกด้วย”

“แต่การเรียนหนังสือมันคือชีวิตอีกด้านของพวกเขา และยังสามารถนำความรู้ที่ได้มา ไปประยุกต์ใช้กับการเป็นนักกีฬาได้” สตีเฟน แบดเดลีย์ ผู้อำนวยการกีฬาของมหาวิทยาลัยบาร์ธ กล่าว

นอกจากจะช่วยละทิ้งความเครียดได้แล้ว การเรียนหนังสือยังได้รับการวิจัยมาแล้วว่า ยิ่งนักกีฬาเรียนในระดับสูงมากเท่าไหร่ พวกเขามีแนวโน้มที่จะคิดวิเคราะห์สถานการณ์ต่าง ๆ ในสนามได้แม่นยำเฉียบขาดมากขึ้น

แน่นอนว่าในความจริงแล้ว กีฬาไม่ใช่เรื่องของการใช้กำลังเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีการวางแผนมากมาย และการใช้ความคิดอ่านสถานการณ์ต่าง ๆ แถมต้องเลือกตัดสินใจให้ถูกต้องในแต่ละช่วงเวลา เรียกได้ว่านักกีฬาต้องการการตัดสินใจที่เฉียบขาด ไม่ต่างจากอาชีพอย่างแพทย์ หรือทนายความ แม้แต่น้อย

alabama-ole-miss-91516-usnews-getty-ftr

ซึ่งในการเรียนหนังสือ ก็เปรียบเสมือนกับการที่นักกีฬา ได้ฝึกซ้อมใช้ทักษะคิด วิเคราะห์ ตามสถานการณ์นอกสนามแข่งขัน เปรียบเสมือนการฝึกซ้อมในรูปแบบหนึ่งที่นักกีฬาต้องการเหมือนกัน 

“ในความเป็นจริงแล้ว ผมมองว่านักกีฬาต้องบาลานซ์เรื่องเรียนให้พอ ๆ กับการฝึกซ้อม เพราะมันช่วยให้พวกเขารู้จักการเล่นเป็นทีมมากขึ้น และตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น” อเล็กซ์ เทย์เลอร์ หัวหน้าด้านกีฬาของมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม กล่าว 

เป็นนักกีฬา ไม่ใช่แค่เก่งเล่นกีฬา

แน่นอนว่า มีนักกีฬาหลายคนที่เป็นสุดยอดด้านวิชาการ ทั้ง มานูเอล อาคันยี่ นักฟุตบอลของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เป็นอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์, สตีฟ ยัง ควอเตอร์แบ็คระดับตำนานในกีฬาอเมริกันฟุตบอลที่จบปริญญาเอกด้านกฎหมาย, แชคคีล โอนีล ที่คว้าใบปริญญา 3 ใบ จาก 3 สาขา และอีกมากมายที่แสดงให้เห็นว่าเป็นนักกีฬาก็สามารถเรียนหนังสือได้เช่นกัน

Shaquille O'Neal (Lakers)
Getty Images

เพราะในความเป็นจริงแล้ว การเรียนหนังสือไม่ได้แค่ช่วยให้นักกีฬาทำผลงานได้ดียิ่งขึ้น แต่การเป็นนักกีฬาก็ทำให้พวกเขาเรียนหนังสือได้ดีเช่นกัน 

เนื่องจากประโยชน์ของการออกกำลังกายคือการลดความเครียดในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ดังนั้นนักกีฬาหลายคนสามารถเรียนหนังสือได้ดีมากเช่นกัน เพราะพวกเขามีความผ่อนคลายในการเรียนมากกว่าคนอื่น ๆ 

รวมถึงการเป็นนักกีฬายังช่วยให้สามารถแก้ปัญหา และตัดสินใจได้แม่นยำมากขึ้นในการเรียน ไม่ต่างอะไรกับที่การเรียนช่วยนักกีฬาเลย เรียกได้ว่าการเป็นนักกีฬาก็ช่วยในเรื่องของการเรียน และการเรียนก็ช่วยนักกีฬาด้วยเช่นกัน มีประโยชน์ควบคู่กันไปอย่างชัดเจน

นอกจากนี้อีกประโยชน์สำคัญคือการศึกษาช่วยให้นักกีฬาสามารถต่อยอดกับอาชีพต่าง ๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น และสามารถต่อยอดทำงานด้านกีฬาต่อไปได้

มีการศึกษาว่า นักกีฬาที่ไม่ได้มีความรู้ทางวิชาการสูงมากนัก มักไม่ได้ทำงานด้านกีฬาต่อ แต่ต้องหันไปทำงานทางอื่นแทน แต่สำหรับผู้บริหารทีมกีฬา, โค้ช หรือแมวมอง และสายอาชีพต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับด้านกีฬาโดยตรง ส่วนใหญ่จะมีความรู้ที่ยอดเยี่ยม นอกเหนือจากประสบการณ์ในการเล่นกีฬา

นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม สหรัฐอเมริกาจึงมักหยิบอดีตนักกีฬาขึ้นมาเป็นผู้บริหารของทีม ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขามีประสบการณ์ แต่เป็นเพราะพวกเขาผ่านการเรียนหนังสือในระดับมหาวิทยาลัยมาเป็นอย่างดี จากวัฒนธรรมของการศึกษาที่คู่มากับวงการกีฬาอันยาวนาน 

NBA Getty images

ไม่ว่าจะเป็น เจอร์รี่ โคเลนเชโก้ อดีตนักบาสเกตบอลที่หลังจากเรียบจบมหาวิทยาลัย เขากลายเป็นโค้ชของทีมฟีนิกซ์ ซันส์ ก่อนจะก้าวขึ้นเป็นเจ้าของทีมในเวลาต่อมา และยังเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาก ๆ รวมถึงเป็นผู้จัดการทีมที่พาทีมชาติสหรัฐอเมริกาคว้าแชมป์โลก 2 สมัย 

รวมถึงเจอร์รี่ เวสต์, แลร์รี่ เบิร์ด และแพท ไรลีย์ พวกเขาก็ประสบความสำเร็จอย่างมากกับการทำงานเป็นผู้บริหารทีมใน NBA ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก เนื่องจากพวกเขามีผลงานที่ดีเยี่ยมไม่ใช่แค่การเล่นบาสในระดับมหาวิทยาลัย แต่รวมถึงเรื่องการเรียนด้วย

การเรียนมีประโยชน์กับนักกีฬามากมาย เช่นเดียวที่การออกกำลังกายมีประโยชน์กับการเรียนด้วยเช่นกัน นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักกีฬาระดับโลกจะเก่งมาก ๆ ในเรื่องวิชาการ และถึงเวลาที่เราต้องหยุดมองว่านักกีฬาเป็นพวกที่เรียนหนังสือไม่เก่งได้แล้ว เพราะมันไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไปแล้ว 

Nuttanon Chankwang

Nuttanon Chankwang  Photo

บรรณาธิการบริหาร The Sporting News Thailand