เจย์เลน บราวน์: สมดุลแห่งความทะเยอทะยานและการปล่อยวาง ที่สร้างยอดการ์ดของลีกบาส NBA

Nawapon Kiatpisan

เจย์เลน บราวน์: สมดุลแห่งความทะเยอทะยานและการปล่อยวาง ที่สร้างยอดการ์ดของลีกบาส NBA   image

“พออายุ 28 ปี ผมคิดว่าตัวเองจะมีแหวนแชมป์ NBA สัก 5 หรือ 6 วง” คำสัมภาษณ์ของ เจย์เลน บราวน์ ในปี 2018 ที่แม้ว่าทุกอย่างในตอนนี้จะยังไม่ใกล้เคียงเลยกับสิ่งที่ดราฟต์อันดับ 3 ปี 2016 ได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับฤดูกาลล่าสุดที่ บอสตัน เซลติก พ่ายให้กับ โกลเด้น สเตท วอริเออร์ส ในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ศึกบาสเกตบอล เอ็นบีเอ ไฟนัลส์ 2022 ไป 2-4 เกมส์ 

แม้ บราวน์ ซึ่งปัจจุบันอายุ 26 ปี จะยังคงไม่มีแหวนแชมป์มาประดับนิ้วมือเลย นับตั้งแต่เข้าลีกมา 6 ฤดูกาล แต่พัฒนาการและความโดดเด่นที่ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีมก็เป็นสิ่งที่น่าประทับใจมากทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการขึ้นมาเป็น 1 ในผู้เล่น ทูเวย์การ์ด ที่ดีที่สุดของลีกในยุคนี้

Jaylen-Brown-MLK-Day-NBAE-Getty-FTR

“ผมเชื่อว่าตัวเองไม่มีเพดาน (ขีดสูงสุดทางความสามารถ) เพราะผมพร้อมจะก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตัวเอง และรอดูว่าความทุ่มเทเหล่านั้นจะสามารถพาผมไปได้ถึงจุดไหน” บทสัมภาษณ์เดียวกันในปี 2018 ที่สะท้อนถึงตัวตน ที่นับวันยิ่งเด่นชัด และนั่นทำให้ เซลติกส์ ซึ่งยังมี เจสัน เททั่ม และ มาร์คัส สมาร์ท เป็น 3 แกนหลักยังคงถูกหมายตาเอาไว้ว่าจะเป็นตัวเต็งแชมป์

แม้ว่าฤดูกาลล่าสุดพวกเขาจะพ่ายให้แก่ โกลเด้น สเตท วอริเออร์สไป 4-2 เกมส์ ทั้งที่อุตส่าห์เข้าชิงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2010 แต่สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับ บราวน์ คือการเติบโตของเขาในทุกๆปี ทั้งในเรื่องฝีมือและทัศนคติ ที่ไม่ว่าคนในวงการใดก็สามารถเอาเป็นแบบอย่างได้

Jaylen Brown

พรสววรค์ ที่มาคู่กับ พรแสวง

บราวน์โดดเด่นตั้งแต่การเล่นบาสระดับมัธยมปลาย สมัยที่อยู่กับ วีลเลอร์ … ด้วยร่างกายที่แข็งแกร่ง บวกกับพรสวรรค์หลายๆอย่าง ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นตัวหลักของทีม รวมถึงเป็นการ์ดที่ถูกให้เรตติ้ง

เอาไว้ 5 ดาว เป็นผู้เล่นระดับท็อปของประเทศ พร้อมกับการหมายตาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำมากมาย

“หลายครั้งผมจำเป็นต้องประกบเซ็นเตอร์ของทีมตรงข้าม ซึ่งมันเป็นงานที่ง่ายเอามาก ๆ” บราวน์ซึ่งมีความแข็งแกร่งทางร่างกายมากพอจะฟัดกับเด็กตัวใหญ่ๆของทุกทีมกล่าว “ผมสามารถรีบาวน์ จากนั้นก็เอาลูกขึ้นหน้าไปด้วยตัวเอง เป็นเรื่องที่ยากสำหรับตัวป้องกันที่จะหยุดผม”

สิ่งที่น่าสนใจคือการก้าวขึ้นไปเล่นอีกระดับที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เพราะบราวน์ ที่เคยอาศัยแต่เซ้นส์และร่างกาย ยอมรับว่า เขาจำเป็นต้องยกระดับการเล่นตัวเองขึ้นมาเพื่อให้ทันกับสปีดของเกมส์ที่ใกล้เคียงระดับมืออาชีพขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งแน่นอนว่าก้าวกระโดดจากมัธยมสู่ระดับมหาวิทยาลัยนั้นเป็นก้าวที่ใหญ่ และ บราวน์ ก็พร้อมจะเป็นผู้เล่นที่ดีขึ้น ด้วยสิ่งที่เขามองข้ามมาตลอด

นั่นคือ เกมป้องกัน

kyle lowry jaylen brown

“เทคนิค กลยุทธ์ หรือ รายละเอียด ของเกมส์ป้องกัน คือสิ่งที่ผมแทบจะไม่มีติดตัวมาเลย และนี่คือสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกถึงความยากลำบากในการเล่นบาสเกตบอลระดับมหาวิทยาลัยช่วงแรกๆ … ผมไม่เคยวิ่งตามตัวที่หลุดจากสกรีนแนวเบสไลน์เลย ผมไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนทิศทางยังไง เพราะที่ผ่านมาผมใช้การสวิตช์ตัวประกบโดยตลอด” 

โชคดีที่บราวน์ได้โค้ชอย่าง คูออนโซ่ มาร์ติน มาติวเกมรับให้ แต่อีกด้านก็ต้องชื่นชมเจ้าตัวที่เปิดรับและพร้อมปรับเพื่อพัฒนาวิธีการเล่นของตนเองให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยไม่สนใจดีกรีที่ถูกประเมินค่าเอาไว้สูงตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว

ก้าวกระโดดด้วยความพร้อม 

"ความลับของความสำเร็จในชีวิต คือ การเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอสำหรับโอกาสที่จะมาถึง" คำคมสร้างแรงบันดาลใจของ เบนจามิน ดิสราเอลี น่าจะเป็นสิ่งที่ขยายเรื่องทั้งหมดได้อย่างชัดเจน

หลังผ่านช่วงเวลาในการแข่งขันระดับมหาวิทยาลัย บราวน์ยอมรับว่ามาตรฐานทุกอย่างสูงขึ้นจากสมัยเล่นช่วงมัธยมอย่างมาก “ผมต้องเจอกับผู้เล่นที่มีทักษะ พรสวรรค์ และ ความแตกต่างมากมาย ที่ต้องรับมือ ในแต่ละระดับต่างก็มีมาตรฐานที่สูงขึ้น” 

ช่วงเวลาแห่งความท้าทายก็มาถึงอีกครั้ง หลังจากบอสตัน เซลติกส์ เลือกเขาเป็นดราฟต์อันดับ 3 ในปี 2016 ถึงแม้ว่าฤดูกาลแรกของเขา NBA จะดูไม่หวือหวา โดยได้สตาร์ทตัวจริงแค่ 20 เกมส์ จากการลงเล่นทั้งหมด 78 เกมในฤดูกาลปกติ รวมถึงในรอบเพลย์ออฟที่ได้สัมผัสเกมในฐานะตัวสำรองอีกทั้ง 15 นัด แต่แล้วจุดก่อตัวแห่งความเป็นซูเปอร์สตาร์ของ บราวน์ ก็เริ่มขึ้นในซีซั่นที่ 2 

3a-Jaylen Brown 2016 NBA Draft

ทุกอย่างเริ่มจากอาการบาดเจ็บของ กอร์ดอน เฮย์เวิร์ด ที่ต้องพักยาวตลอดทั้งซีซั่น และนั่นทำให้ทีมเลือกใช้งานบราวน์มากขึ้น เจ้าตัวได้เวลาลงเล่นเพิ่มเกือบเท่าตัว (จาก 17.2 นาทีต่อเกมส์ มาเป็น 30.7 นาทีต่อเกมส์) เช่นเดียวกับสถิติการทำแต้ม (จาก 6.6 แต้ม ขึ้นมาเป็น 14.5 แต้มต่อเกมส์) ความแม่นยำในการชู้ต 3 คะแนน (จาก 34.1% ขยับมาเป็น 39.3%) ซึ่งทั้งหมดคือการคว้าโอกาสด้วยความพร้อมที่เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี

เซลติกส์ ทะลุเข้ารอบเพลย์ออฟแต่ก่อนหน้านั้นพวกเขาได้รับข่าวร้ายเพราะต้องเสีย ไครี่ เออร์วิ่ง การ์ดตัวหลักที่บาดเจ็บและจะไม่ได้แข่งขันตลอดช่วงโพสต์ซีซั่น อย่างไรก็ตามทีมพลังหนุ่มกลับทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ โดยพวกเขาทะลุเข้าถึงรอบชิงแชมป์สายตะวันออก ยื้อกับ คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส ได้ถึง 7 เกม ก่อนจะแพ้ไป 3-4 เกมส์ (เซลติกส์ ขึ้นนำซีรี่ส์ก่อน 2-0 ด้วย)

อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่แฟนเซลติกส์ คงจะประทับใจไม่น้อยคือการเห็นกลุ่มผู้เล่นอนาคตไกลของทีมลงแสดงศักยภาพของพวกเขาทั้ง เจสัน เททั่ม, มาร์คัส สมาร์ท, เทอร์รรี่ โรเซียร์ และแน่นอนว่ารวมถึง เจเลน บราวน์ ที่ระเบิดฟอร์มระดับ 20+ แต้ม ถึง 8 เกมส์ (2 ในนั้นเป็นระดับ 30+ ด้วย)

Jaylen Brown

ปล่อยวาง โฟกัส และ สนุกกับความทุกข์

ในเมื่อความเป็นจริงชีวิตคนเรามักไม่พัฒนาไปในแบบกราฟที่ชันเป็นขาขึ้นเพียงอย่างเดียว และ ชีวิตของบราวน์ ในเส้นทางบาสเกตบอลกับเซลติกส์ที่เหมือนกำลังจะดูดีก็เช่นกัน 

หลังจากกลับมามีสภาพทีมที่สมบูรณ์ บราวน์ กลับเผชิญกับช่วงเวลาที่ลำบากมากที่สุดเพราะเขาโดนลดเวลาลงเล่นแต่ที่มากไปกว่านั้นคือโดนจำกัดบทบาทในเกมส์บุกที่เจ้าตัวมั่นใจว่า เขาสามารถทำมันได้ดีด้วยการพิสูจน์ตัวเองมาแล้วในเพลย์ออฟ 2018 ทั้งหมดส่งผลต่อความมั่นใจของตัวเขาอย่างมาก

บราวน์ ซึ่งได้เวลาลงเล่นเหลือเพียง 25.9 นาที ในซีซั่น 2018-2019 เล่าว่า “ผมรู้สึกสูญเสียความมั่นใจและที่หนักสุดคือผมเกือบจะอยู่ในจุดของการเบื่อหน่าย และเหลือทนกับความคิดหรือความรู้สึกที่เป็นอยู่ คุณสามารถย้อนกลับไปดูสีหน้าของผมในเกมนั้นได้เลย” โดยเกมส์ดังกล่าว เซลติกส์ เจอกับ ยูธ่าห์ แจ๊ซ โดยบราวน์ชู้ตลงเพียง 1 จาก 9 ครั้ง ลงเล่นไป 25 นาที 

Jayson Tatum Jaylen Brown Kyrie Irving Gordon Hayward Al Horford

“ผมตอบได้ไม่เต็มปากด้วยซ้ำว่าผมสบายดี” บราวน์ เล่าถึงเหตุการณ์ที่ โดโนแวน มิตเชลล์ สังเกตถึงความผิดปกติของตนเอง ก่อนจะเอ่ยปากถามเขาว่า สบายดีมั้ย ?

อย่างไรก็ตามหลังหยุดพัก ออลสตาร์ เบรค เจ้าตัวก็กลับมาทำผลงานได้ดีขึ้นอีกครั้งโดยที่เขาก็ไม่รู้ว่าทุกอย่างเริ่มที่ตรงไหน แต่เขาจำได้ว่าดีขึ้นได้อย่างไร โดยคำตอบคือ การหยุดฟังสิ่งที่คนอื่นพูด และใช้เวลาในการทบทวนตัวเองถึงสิ่งที่เคยเป็น รวมทั้งสิ่งที่ตัวเองควรจะก้มหน้าก้มตาทำไป 

“ไม่ว่าจะเป็นโค้ชผู้ฝึกสอน เจ้าหน้าที่สำนักงาน หรือ ไม่ว่าจะใครก็ตาม ผมเลือกที่จะหยุดแคร์คำพูดพวกเขา และเอาเวลาหันมาเล่นบาสเกตบอล ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมทำมาตลอดชีวิต … ผมจะต้องหยุดกังวลเรื่องอื่นๆ ไม่ว่านั้นจะเกี่ยวกับ แบรด สตีเวนส์ หรือ แม้แต่ เดนนี่ เอดจ์ รวมถึงคนอื่นจะมองมาที่ผมอย่างไร ผมต้องเลิกคิดมาก (วิตก) ระหว่างเกมส์การแข่งขัน แล้วกลับมาโฟกัสและสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง คอยเตือนตัวเองว่าเป็นใคร จะสามารถทำอะไรให้ทีมได้บ้างในการแข่งขัน ทุ่มเททำให้ดีที่สุดและรอดูว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร”

อีกสิ่งหนึ่งที่แสดงให้ถึงความเติบโตของบราวน์ นอกเหนือจากฝีมือการเล่นคือวิธีคิดของเขา โดยเฉพาะการที่เขาเชื่อว่าทุกอย่างในชีวิตเกิดขึ้นเหตุและผล ซึ่งผลลัพธ์ของเรื่องหนึ่งย่อมส่งผลต่อสิ่งหนึ่งโดยเฉพาะการที่เขาคิดว่า จะไม่มี บราวน์ อย่างในวันนี้ หากไม่เกิดช่วงมรสุมตามที่เขาเล่า

“ผมมีความสุขกับการที่ช่วงแย่ ๆ นั้นเกิดขึ้นนะ เพราะเมื่อตัวผมทำผิดพลาดหรือเจอช่วงเวลาที่ไม่เป็นดั่งใจสิ่งเหล่านั้นคือบทเรียนที่ทำให้ชีวิตเติบโต นิสัยบางอย่างที่เราสร้างขึ้นเพื่อรับมือการหลายสถานการณ์ คือสิ่งที่ช่วยให้คุณได้เรียนรู้ตัวเองมากยิ่งขึ้น ดังนั้นฤดูกาล 2018-2019 คือ ปีที่ผมรู้สึกเติบโตขึ้นมาก ไม่ใช่แค่บนพื้นสนาม แต่หมายถึงโดยรวมของชีวิต“

jaylen-brown-jayson-tatum-smart-celtics
Getty Images

กำลังสำคัญและอนาคตของทีม

บราวน์พัฒนาตัวเองจนกลายเป็นส่วนสำคัญในอนาคตของเซลติกส์ และต้นสังกัดตัดสินใจทำในสิ่งที่พวกเขาไม่ทำมานานกว่า 10 ปี นั่นคือการยื่นสัญญาฉบับใหม่ ให้กับผู้เล่นรุกกี้ของทีม 

สัญญา 4 ปี 115 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ถือเป็นเครื่องหมายการันตีว่าเจ้าตัว โดยเป็นรุกกี้คนแรกต่อจาก ราจอน รอนโด้ ที่เคยได้รับการต่อสัญญายาวจากเซลติกส์ เมื่อปี 2009 นั่นสะท้อนถึงความไว้วางใจและกล้าเดิมพันก้อนใหญ่ กับผู้เล่นที่ยังไม่ได้ก้าวไปถึงระดับออลสตาร์ด้วยซ้ำ

“ประโยชน์ของผู้เล่นทูเวย์ คือ พวกเขาจะสร้างความได้เปรียบในเชิงความเร็วใส่ตัวป้องกันที่ใหญ่กว่า สามารถเล่นด้วยพละกำลังใส่ตัวป้องกันที่เล็กกว่า รวมถึงเล่นได้อย่างหลากหลายทั้งการพิกแอนด์โรลล์ เลี้ยงฝ่าเข้าไปเอง เป็นตัวสกรีน หรือแม้แต่การเล่นกับพื้นที่ว่าง และปัจจัยสำคัญคือเกมรับ เพราะพวกเขาจะไม่ทำให้ทีมเสียประโยชน์จากการสวิชต์ตัวประกบมากนัก” แบรด สตีเวนส์ ซึ่งทำหน้าที่โค้ชของทีมณ เวลานั้น กล่าวถึงดาวรุ่งอย่างบราวน์ 

Jaylen Brown

แม้กระทั่ง เคนดริก เพอร์กิ้นส์ อดีตเซ็นเตอร์ชุดแชมป์ของเซลติกส์ปี 2008 ยังเอ่ยปากชมรุ่นน้องคนนี้ว่า  “บราวน์คือคนที่ฉลาดมาก เขาคือชู้ตติ้งการ์ดระดับท็อปของลีก ที่เล่นโดยไม่ต้องพยายามหาทางชู้ตมากเกินไป แต่สามารถมีระดับ 20 แต้ม และ ความแม่นระดับ 50% ที่สำคัญเขายังไล่ป้องกันผู้เล่นบุกเก่งที่สุดของทีมตรงข้ามให้อีกด้วย สำหรับผมแล้ว บราวน์ คือระดับออลสตาร์” 

ความยืดหยุ่นจากศักยภาพที่หลากหลาย (ทั้งรับและบุก) และปรับตัวได้ดีกับหลากหลายแผนที่ทีมต้องใช้ในทุกๆคืนที่ลงแข่ง (จาก IQ ที่สูงและความเข้าใจเกมส์จากการเรียนรู้เสมอ) ทำให้บราวน์กลายเป็น 1 ในผู้เล่นที่ไร้ขีดจำกัดทางความสามารถตามที่เขาพูด 

และผลลัพธ์ของการก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างหนักตามที่ บราวน์ บอกไว้ คือเขาได้ติดออลสตาร์หนแรกในปี 2021 และ ปี 2022 รวมทั้งสร้างชื่อให้ตนกลายเป็นการ์ดระดับแนวหน้าของลีกได้สำเร็จ

เจย์เลน บราวน์ เวอร์ชั่น 2022-23

จากการพ่ายให้กับ วอริเออร์ส ในรอบชิงชนะเลิศ บราวน์ ยังต้องเจอกับข่าวลือเรื่องการเทรด ที่บ้างก็ว่า ทีมต้องการได้ตัว เควิน ดูแรนท์ มาสานต่อความสำเร็จ เช่นเดียวกับการแสดงความคิดเห็นจากแฟนบาสที่มองว่า บราวน์ โอเวอร์เรตเกินไป เขายังขาดทั้งการป้องกันออฟบอล (ป้องกันผู้เล่นที่ไม่มีบอล) ที่ดี การเสียเทิร์นโอเวอร์ ความเฉียบคมในการเล่นมือซ้าย ฯลฯ

อย่างไรก็ตามกูรู ผู้สื่อข่าว หรือ บล็อคเกอร์ หลายคนก็ให้ความเห็นตรงกันว่า เซลติกส์ ควรเก็บบราวน์ไว้ ด้วยเหตุผลที่ว่า ความแข็งแกร่งของบอสตัน เซลติกส์ เกิดขึ้นจากเคมี ที่ผู้เล่นตัวหลักต่างเติบโตมาด้วยกัน และบราวน์ ยังเป็นผู้ทูเวย์ที่ยอดเยี่ยม ซึ่งสามารถก้าวขึ้นไปอยู่ระดับเดียวกับ คาไว เลียวนาร์ด ได้

แม้การเข้ามาของ มัลคอร์ม บร็อกดอน จะทำให้ทีมมีตัวสกอร์ ที่อาจจะมาแบ่งทั้งเวลาลงเล่นรวมถึงการครองบอล และ จำนวนการชู้ตจากบราวน์ แต่เชื่อว่าศักยภาพทูเวย์ที่เด่นทั้งรุกและรับ บวกกับความเป็นตัวตนที่พร้อมทุ่มเทเพื่อพัฒนา อาจทำให้เราได้เห็นบราวน์เวอร์ชั่นการเล่นออฟบอลออฟเฟ้นส์มากขึ้น หรือสามารถชู้ตระยะ 3 คะแนน ได้แม่นยำ รวมถึงการลดจุดด้อยในเกมป้องกันคนไม่มีบอล ฯลฯ

Jaylen Brown and Jayson Tatum
(Getty Images)

ที่เราเชื่อแบบนั้นเพราะว่า บราวน์ คือผู้เล่นที่ไร้ขีดจำกัด จากความเป็นน้ำไม่เต็มแก้ว โดยเซลติกส์อาจมี เททั่ม เป็นซูเปอร์สตาร์ แต่ บราวน์ จะเป็นรากฐานสำคัญของทีม และจากหลายเกมที่เราได้เห็น คู่หู “เดอะ เจย์” กลายเป็นดูโอ ที่อันตรายที่สุดของลีกไปแล้ว ณ เวลานี้ ทั้ง ๆ ที่ ราว 2-3 ฤดูกาลก่อนพวกเขายังแทบจะแย่งบอลกันเล่นในสนามด้วยซ้ำไป

และอีกเหตุผลคือ … “ผมไม่ได้เล่นเพื่อแพ้” คำตอบสั้นๆ ที่บราวน์เคยกล่าวไว้ แต่เป็นเสี่ยงสะท้อนตัวตนของเขาได้ทรงพลัง รวมถึงผลงานที่ผ่านในฤดูกาลนี้ เขาพิสูจน์แล้วว่าพร้อมจะทำทุกบทบาท และ พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เพื่อให้ เซลติกส์ มีโอกาสแก้ตัวจากก้าวที่พลาดไปนิดเดียวเมื่อปีที่แล้ว

Nawapon Kiatpisan

Nawapon Kiatpisan Photo

NBA Lover